วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

ความสุขจากการมอบรอยยิ้มให้ผู้คน


ความสุขจากการมอบรอยยิ้มให้ผู้คน
ความสุขจากการได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้ผู้คน



ไม่ต้องมาก ไม่ต้องมาย
แต่แค่รู้ว่าสุขใจที่ได้ทำ คุณก็ยิ้มแบบมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นแล้วละ

เป็นความสุขที่คุณได้มอบให้ผู้คนมากมาย
โดยไม่รู้ตัว  โลกจะบวกในความคิดคุณเสมอ ถ้าคุณสดใส
และโลกก็จะมืดมนในความคิดคุณเสมอ ถ้าคุณดูเศร้าหมองที่จิตใจ

ความสุขความทุกข์ ความรู้สึกดีๆ
ล้วนแล้วเกิดขึ้นที่ใจ สิ่งที่ดีๆ ที่คุณได้ทำ ได้สร้างสรรค์ออกมา
โดยไม่ได้หวังอะไรตอบกลับมาเลย
มันมีความสุขดีจังแหะ

ไม่ต้องเชื่อเรานะ แต่อยากให้ลองทำกันดู
ทำอะไร ให้คนอื่น แบบไม่ต้องคิดไรมาก
ใช้ใจในการทำ คุณก็มีความสุขแล้ว
แต่พอเห็นสิ่งที่คุณให้ ดูมีประโยชน์กับคนอื่น
เห็นคนเค้ามีรอยยิ้ม มีความสุข คุณกลับสุขทวีคูณ

นี่ละคือความสุข รอยยิ้ม มิตรภาพ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ที่ก่อสร้างมา โดยเริ่มจากตัวคุณเองละ

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

อย่าเชื่อ ถ้าคุณยังไม่ได้ลองลงมือทำ


อย่าเชื่อ แค่คนอื่นบอกว่าดี
อย่าเชื่อ แค่คนอื่นบอกว่าไม่ดี
อย่าเชื่อ ถ้าคุณยังไม่ได้ลองลงมือทำ



สิ่งที่ใครหลายคนบอก คือเส้นทางเดินของเค้า
ไม่ใช่ว่าจะไม่ควรฟังเลย  ฟังได้ แต่ก็ต้องรู้จักนำมาประยุกต์
เพื่อให้เป็นทางเดินของเรา
It's Your way not  them way

บางคนฟังมาก แต่ไม่ลงมือทำ
บางคนเห็นคนอื่นมีดีไปหมด  จนลืมสิ่งที่ตัวเองมี
บางคนหลงในความสำเร็จคนอื่น  จนลืมสร้างความสำเร็จตัวเอง
บางคนอยากรู้ไปทุกเรื่อง  จนทำไม่ได้ดีเลยสักเรื่อง

บางทีคนเราก็ หลงลืมตัวเอง
เผลอลืม กลับมาโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะมั่วแต่โฟกัสเส้นทางคนอื่น

จะกระทำสิ่งใดก็ตามแต่ จงมีสติ รู้เท่าทันตน
ใจเป็นตัวสั่งการ  กายเป็นตัวกระทำตาม


อย่าปล่อยให้ชีวี หลงไปตามโลกีย์
สร้างชีวีมีสุขดี  ตามครรลองฉบับตน

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

การวิเคราะห์


สิ่งที่สำคัญไม่ต่างจากการลงมือทำเลย นั่นก็คือ การวิเคราะห์


เพราะเวลาเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่น บางครั้งเราลงมือทำอย่างเดียว
อาจทำให้เราพลาดอะไรบางสิ่งก็ได้นะ

แต่ถ้าเรารู้จักลงมือทำ แล้วก็รู้จักวิเคราะห์ในสิ่งที่เราทำต่อนั้น
คล้ายๆกับการประเมินการทำงานของเรานั่นแหละ
แล้วมาหาจุดเทียบในสิ่งที่เราทำ ว่าทำอย่างนี้ได้ผลลัพท์แบบไหน
ทำอย่างนั้นได้ผลลัพท์แบบไหน เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

แต่อย่าให้การวิเคราะห์ ประเมินของเรา เข้าข้างตัวเองเชียวนะ
เพราะถ้าผลการวิเคราะห์เข้าข้างตัวเอง ก็ไม่ต่างจากคนน้ำเต็มแก้ว
และอาจจะทำให้การประเมินผลผิดพลาดได้ 


สิ่งที่สามารถตอบคุณได้ดีที่สุดว่าผลที่คุณวิเคราะห์ไปทางที่ถูกต้องหรือไม่คือ
ผลลัพท์ในการลงมือทำหลังจากการวิเคราะห์นั่นเอง

ลงมือทำ วิเคราะห์ วางแผนรอบใหม่ ลงมือทำ วิเคราะห์ วางแผนรอบใหม่ ลงมือทำ
วนลูปอยู่แบบนี้แหละ ในการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง

เพราะนั่นคือการต่อยอดและเรียนรู้ พัฒนาไปเรื่อยๆ
ในเส้นทางที่เราเดิน แต่ถ้าตราบใด เราหยุดการพัฒนา เรียนรู้ ปรับตัว
ก็คล้ายๆกับว่า เรากำลังเดินถอยหลังลงนั่นเอง

ลงมือทำ พร้อมกับการพัฒนาและเรียนรู้ต่อไปทุกย่างก้าว
เดินไปเรื่อยๆ อย่าหยุด เดี๋ยวสักวันก็ถึงเป้าที่คุณวางนั่นแหละ

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ
@...Miiez...@

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

คิดแบบไหนได้แบบนั้น


คิดแบบไหนได้แบบนั้น



คล้ายๆเหมือนเราวางโมเดลไว้ในหัวเรานะ
เคยไหมละ ที่เราเห็นงานอย่างหนึ่ง กองอยู่ตรงหน้า

แล้วเราก็บอกกับตัวเองว่า เยอะขนาดนี้ วันนี้ทำไม่เสร็จหรอก
งานชิ้นนั้นก็จะไม่เสร็จ ตามที่คุณวาง

แต่ถ้าเราเปลี่ยนการวางโมเดลในหัวใหม่ว่า ฉันจะทำงานนี้ให้เสร็จในวันนี้
คุณจะสามารถหา ทุกวิถีทางให้งานชิ้นนั้นเสร็จในวันได้
แล้วจะเสร็จได้อย่างน่าอัศจรยย์ใจเลยละ

เพราะเวลาคุณบีบตัวเอง
คุณก็ต้องมีควมอยากที่จะเอาชนะใจตัวเอง และพิสูจน์ความสามารถในตัวคุณ
มันเป็นหนึ่งสิ่งในความท้าทาย

แต่ถ้าความท้าทายในชีวิตหายไป
ก็แค่สร้างความท้าทายให้กับใจของคุณเท่านั้นเอง

อย่าลืมว่า เมื่อทำสำเร็จในเรื่องหนึ่ง อย่าลืมที่จะให้รางวัลตัวเอง
ถึงแม้ว่าความภูมิใจเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เรารู้สึกดี 
แต่รางวัลที่สร้างกำลังใจให้กับทางเดินเรา
จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า คุณค่าและเหตุผลในการมีชีวิต และก้าวเดิน

ความสำเร็จเริ่มต้นได้ง่ายๆ
แค่ทำสิ่งเล็กๆให้สำเร็จได้ในทุกๆวัน
แล้วจะกลายเป็นนิสัย ที่ติดตัวเราที่จะทำทุกสิ่งให้สำเร็จ ถ้าลงมือทำแล้ว

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ ^^
@...Miiez...@

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

คุณเติมสมองกับเรื่องอะไร


ในหนึ่งวัน คุณเติมสมองกับเรื่องอะไร
เชื่อไหมว่า สมองอันน้อยๆของเรา ใส่เรื่องราวได้มากมาย
ประมวลได้มากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับรอยหยักในสมอง



คำว่ารอยหยักในสมอง หลายคนอาจจะตีความว่าความฉลาด
แต่แท้จริงแล้ว คือ การทำหน้าที่ให้สมองเราฝึกการคิด วิเคราะห์ พิจารณา ตามข้อมูล
เหมือนได้ใช้งาน และกระตุ้น รอยหยักในสมองเรา
การอ่านหนังสืออย่างเดียว ถ้าเราไม่คิดตามที่อ่าน หรือประมวลผลต่อ
ก็เปรียบเหมือนกับการอ่านผ่านตา เติมข้อมูลลงไป
ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเป็นเรื่องลบหรือบวก แต่ก็ถูกใส่ลงไปในข้อมูลไว้แล้ว

ข้อมูลเหล่านั้น จะมีการนำไปใช้หรือไป ก็ดูว่า
เราได้ใส่กระบวนการผลิตต่อไปแบบไหน
จะให้ข้อมูลไหนเป็นเรื่องรู้และปล่อยผ่าน และข้อมูลไหนนำมาวิเคราะห์และเพิ่มให้สมองต่อ
เราเลือกได้ว่า เราจะให้สารไหนเข้ามาเป็นหนึ่งในเรื่องที่เราใช้

วันหนึ่งเรารับสาร รับข้อมูลเข้ามามากมาย ทิ้งข้อมูลไปก็เยอะ   
ในเรื่องของข้อมูลไม่ใช่แค่การอ่าน แต่เป็นทุกด้านที่คุณรับเข้ามา
ตามประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคุณเลยละ
บางเรื่องควรทิ้งข้อมูลเหล่านั้นลงบ้าง
บางเรื่องก็ควรเอาข้อมูลเหล่านั้นมาปรุงแต่งต่อ

ถ้าเราฝึกสมองเราให้คิดด้านไหนในทุกๆวัน
เรื่องที่คุณคิดในทุกๆวัน จะตกผลึกมากขึ้น

แต่บางครั้งคุณใช้สมองมากเกินไป ก็ควรให้สมองพักบ้าง

ไม่งั้นรอยหยักในสมองมากไป อาจจะทำให้คุณเกิดภาวะเครียดได้

ทุกอย่างให้ตั้งอยู่บนความพอดี

@...Miiez...@




วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

เหตุผลในการมีชีวิตของคุณคืออะไร


เหตุผลในการมีชีวิตของคุณคืออะไร 




หลายคนบอกว่าเป็นเป้าหมายในชีวิต
หลายคนบอกว่าเป็นความสุขในชีวิต
หลายคนบอกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อคนข้างกาย

ไม่ว่าเหตุผลของการมีชีวิตอยู่จะเพื่อตัวเองหรือคนอื่น
แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งนั้นคือความหวังในใจตนเรานั่นเอง

เพราะเรามีความหวังว่า เราจะทำได้
เพราะเรามีความหวังว่า เราจะดูแลคนอื่นได้
เพราะเรามีความหวังว่า เราจะมีชีวิตที่ดีกว่าวันนี้
เพราะเรามีความหวังว่า เราจะสร้างสิ่งต่างๆให้ดีกว่านี้
เพราะเรามีความหวังว่า เราจะเปลี่ยนโลกได้

มันคือความหวังเล็กๆ ในจิตใจของเรา
นั่นละคือพลังแห่งการลงมือทำสิ่งต่างๆ

ไม่สำคัญหรอกว่าเป้าหมายใครแต่ละคนจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
เป้าหมายว่าสำคัญแล้ว แรงใจที่จะส่งพลังให้เราเดินถึงเป้าหมายนี้สำคัญยิ่งกว่านัก

เหตุผลในการเดินทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ความสุขในชีวิตคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ทางเดินของแต่ละคนก็แตกต่างกัน

หาเส้นทางเดินที่ใช่ ที่คุณมีความสุข
รู้จักการให้และรู้จักการรับ
มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทางเดียวก็มีความหมายเสมอ
ปัญหาและอุปสรรคที่เราเจอระหว่างทางเดิน ก็มีคุณค่าในตัวเสมอ

ไม่ต้องมองที่ใคร มองที่ใจตน มองที่จุดหมาย มองที่แผนที่ที่จะเดินทาง
แล้วเดินไปให้สุด  กับคนที่ร่วมทางเดินกับคุณ
จับมือแล้วเดินไปด้วยกันให้สุดทางเดิน
ให้กำลังใจตัวเองด้วยรางวัล  สานความฝันด้วยความหวังและความเชื่อมั่น
อุปสรรคที่ขวางกั้น แค่ด่านที่ทดสอบมานะในใจคุณ

@...Miiez...@

ทุกกาลจากลา มักมีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอ


ใครคนนั้น - พลพล x Labanoon



กาลเวลา ทำให้เราต้องจากกัน ความผูกพันไม่เคยจางหาย
ยังคงนึกถึง วันที่มีความหมาย อยู่เสมอ…
หวนคิดถึง ใครคนนั้นที่จากไป ป่านนี้เธอจะเป็นเช่นไร..
ได้แต่ฝากไว้ ผ่านสายลมความห่วงใย ช่วยส่งถึงเธอ..
** ยังคงคิดถึงเสมอ ยังคงรักเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ยังคงจำเรื่องราว ทุกวินาที ที่มีเธอร่วมเดิน ร่วมสร้างความฝัน..
ฉันยังคงคิดถึงทุกครั้ง ยามลืมตาขึ้นมา ตื่นมาจากฝัน
แม้รู้ว่าคงไม่มีวัน แต่ฉันยังคงแอบยิ้มทุกครั้ง คราวนึกถึงเธอ
กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องปล่อย ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น
กอดเก็บเรื่องราว ที่ไม่อาจจะย้อนคืน ฉันคงต้องเข้าใจ… **
(ยังคงจำเรื่องราว เธอและฉัน ไม่เคยลืม
ยังมีคำภาวนา จากใจฉัน ให้เทอ อยู่เสมอ..) **
แต่ฉันยังคงแอบยิ้มทุกครั้ง แด่ใครคนนั้นที่ทำให้จำ ก็สุขใจ.


--------------------------------------------------------------------

บรรยายความรู้สึกเมื่อได้ฟังเพลง

ทุกกาลจากลา มักมีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอ
แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความทรงจำ ของคนบางคน ในช่วงเวลาหนึ่ง

ความสุข ความทุกข์ ความเศร้า รอยยิ้ม ในแต่ละช่วงเวลา
มีคุณค่าเสมอ เมื่อคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น 

ฟังเพลงนี้แล้วคิดถึง คนที่เคยสร้างความทรงจำดีๆให้เราเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน มิตรภาพดีๆ จากใครบางคน ที่ยังมีอยู่ในความทรงจำของเรา

หนึ่งชีวิตของคุณ สร้างคุณค่าและความทรงจำให้กับใครบางนะ 
สร้างสิ่งดีๆให้คนจดจำ แม้ห่างหาย ก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ให้นึกถึงกัน ^^ 

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

เริ่มต้นจากความรัก ส่งต่อด้วยความสุข


เริ่มต้นจากความรัก ส่งต่อด้วยความสุข



เวลาที่คุณเริ่มต้นทำสิ่งใดด้วยความรัก
คุณก็อยากจะส่งมอบต่อสิ่งดีๆ ตั้งแต่ความคิด จนถึงการกระทำ

ถ้าคุณเริ่มด้วยการได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก  ธุรกิจที่อยากทำ
คุณจะเหมือนได้ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ในโลกความสุขของคุณ

ลองคิดดูสิว่า เวลาคุณรักสิ่งใด  คุณจะอยากทำสิ่งดีๆมากมาย
แม้ว่าอาจจะต้องใช้แรงพยายามจากตัวคุณเองมากแค่ไหน
แต่เวลาเรารักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  เราอยากที่จะทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด สุดความสามารถของเรา
เพื่อให้สิ่งนั้นเติบใหญ่ เติบโตในแบบที่เป็น โดยมีเราเป็นแรงส่งไป

เคยไหม ที่คุณทำธุรกิจหนึ่งด้วยความรักมาก  แต่คุณคาดหวังกับธุรกิจอันนั้น
แล้วพอไม่เป็นไปตามหวัง  คุณเจ็บหนัก ยังกับคนอกหักเลย
ซึ่งตามจริงแล้ว คุณอกหักกับธุรกิจนั่นเอง
แต่ถ้าเป็นไปตามหวังทุกเสต็ป หัวใจคุณจะยิ่งพองโตมาก แล้วมีกำลังใจทำต่อ

ถ้าไม่อยากรู้สึกอกหักจากธุรกิจ ก็จงรักให้เป็น 
ทำอะไรทุกอย่างด้วยความรัก แต่เป็นรักที่บริสุทธิ์ 
ทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องคาดหวังในผลลัพท์ แต่จงมีเป้าหมายในทางเดิน

ถ้าความรักกับสิ่งนี้ไม่ใช่ ก็จงอย่าฝืนดันทุรัง เดินต่อเป้าหมายไม่ได้เปลี่ยน
แต่แค่เปลี่ยนเส้นทางกับธุรกิจที่เดิน เหมือนชีวิตคนนะ
ที่ปลายทางเหมือนกัน แต่แค่คนที่เดินร่วมทางกับชีวิตจะเป็นใครแค่นั้นเอง

เมื่อเราสร้างธุรกิจจากความรัก เมื่อความรักมันงอกเงย เติบโตขึ้นมา
สิ่งที่จะตามมาคือ ความหอมหวาน อบอวนในความรัก ที่พร้อมกระจายต่อไปถึงผู้คนอีกมากมาย
นั่นคือความสุขที่เราอยากจะส่งต่อสิ่งดีๆ คืนต่อให้กับคุณลูกค้า

เคยสังเกตุไหมว่า ทำไมแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ เค้าเกิดจากอะไร
เริ่มจากการรู้จักลูกค้าของคุณดีแค่ไหน เข้าใจลูกค้าดีแค่ไหน
ที่จะสามารถสร้างคุณค่าสินค้าคุณให้เข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้อย่างไร
นั่นคือการให้ความรัก ความใส่ใจ ดูแล ลูกค้าของเค้าให้ดีที่สุดยังไงละ
มีจุดยืนในสิ่งที่เป็น  ส่งมอบสิ่งดีๆให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าหลงรัก
แล้วรักษาลูกค้าต่อด้วยโปรโมชั่นมากมาย

แบรนด์ที่จะยั่งยืนได้ ไม่ใช่ว่า ทำให้ลูกค้าหลงรักแค่ในคร่าวแรก
แต่คือการรักษาคุณภาพสินค้า และสร้างความจดจำในแบรนด์ตลอดไปในใจลูกค้าได้ต่างหากละ
แล้วแบรนด์คุณจะอยู่ในใจลูกค้าตลอดไป

ไม่ใช่แค่สร้างความรัก แต่การรักษาความรักที่มีก็สำคัญ
สร้างความรัก ส่งต่อความสุข ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับผู้คน

@...Miiez...@

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

The Red Turtle เต่าแดง สปอย์


The Red Turtle เต่าแดง

เป็นหนังที่ดูจบแล้วให้ความรู้สึกว่า  นี่แหละชีวิต
เรื่องนี้แทบจะไม่มีการพูดกันเลยทั้งเรื่อง
หนังอนิเมชั่น ที่ให้คุณได้จินตนาการในทุกตอน แบบไม่ต้องปิดกั้นความคิด



แต่พ้อยในเรื่องนี้ ได้เห็นแง่มุมการใช้ชีวิต ของคนเลยละ

เริ่มจากชายหนุ่มพลัดมาติดเกาะ ความงงงวย เรียนรู้ บนเกาะเกิดขึ้น
หาน้ำดื่ม หาอาหารกิน หามิตรภาพจากสัตว์น้อยๆ เป็นเพื่อน
สำรวจรอบเกาะ พลัดตก แล้วดิ้นรนหาทางรอด จากที่ๆหนึ่ง

แล้วมีความคิดอยากจะหนีจากเกาะ
ความอยากทำให้เกิดการสร้างแพ 
ลงทะเลแต่ละรอบ ก็ต้องจากลาสัตว์น้อยใหญ่เรียงหน้า อำลา
แต่ก็มีอะไรมาทำให้แพพังลงระหว่างทางในทุกรอบ

ชายหนุ่มทั้งเหนื่อย โมโห ที่ไม่สามารถรู้ว่าคืออะไร
ในรอบครั้งใหม่ๆ ก็ยังระวังและหาสาเหตุมากขึ้นว่าจากอะไร
จนครั้งหนึ่ง ที่เต่าแดง โผล่มาให้เห็น ก็จะทำลายแพลง

ชายหนุ่มก็กลับมาติดเกาะอีกครั้ง และโมโหเต่าแดงมาก
พอมองจากที่สูง เห็นเต่าแดงขึ้นมาบนเกาะ
ด้วยความโมโหทั้งหมดที่มี วิ่งลงมาเพื่อทำร้ายเต่าแดง
และก็สำเร็จตามใจหมาย 

แต่หลังจากนี้ได้เห็น มุมมองในความเป็นคนของชายหนุ่ม
จากสิ่งที่ทำ มีความรู้สึกผิดในใจ เมื่อมีสตินึกขึ้นได้จึงเก็บภาพไปฝัน
แล้วพอตื่นขึ้นมา ก็ไปดูแลเต่าแดงที่ตนทำร้าย หลายอย่างด้วยจิตใจ
ความพยายามหลายสิ่ง จนเต่าแดง กระดองแตก กลายร่างเป็นหญิงสาว

จนพอหญิงสาวลุกขึ้นมา แล้วทิ้งกระดองตัวเองลอยไปกับสายน้ำ
เพื่อทิ้งตัวตนเก่าลงไป  ชายหนุ่มก็เลือกที่จะทิ้งแพ เพื่อทิ้งความคิดที่จะออกจากเกาะลง
ทั้งสองเลยได้เริ่มชีวิตคู่กันที่บนเกาะแห่งนี้ ต่างฝ่ายต่างอภัยในสิ่งที่เคยทำร้ายกัน
และเริ่มสร้างสิ่งดีๆให้กันใหม่  จนเกิดมีลูกขึ้นมา

พอมีลูกน้อย ก็มีทั้งเรื่องการสอนลูกน้อยให้เล่นไปตามธรรมชาติ
มีอยู่ตอนที่ลูกน้อย ตกลงไปในทะเล ถึงพ่อแม่จะตกใจ ชายหนุ่มอยากจะกระโดลงไปช่วย
แต่หญิงสาวปรามไว้ และสอนให้ลูกว่ายน้ำแล้วออกจากสิ่งที่ติด จากท่าทางและสายตา
เป็นการเลี้ยงที่สอนให้เค้าเติบโตด้วยตัวเอง ทำหลายอย่างด้วยตัวเองได้

แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในธรรมชาติที่สวยงาม
สามารถสร้างสิ่งที่เลวร้ายได้ ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอ
แต่ทุกอย่างจะมีเหตุเตือนเราอยู่ ถ้ารู้จักสังเกตุ 
สึนามิลูกใหญ่ ที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ละคนเป็นห่วงกัน แต่ก็ต้องหนีเอาชีวิตรอด
พอมีสติรู้ตัว ก็ต่างตามหากัน จนเจอ  และเข้าใจชีวิตมากกว่าเดิม

พอเด็กน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ๋ ก็เริ่มอยากมีความคิดออกจากเกาะนี้
ออกไปเผชิญโลกภายนอก จนเก็บไปฝัน  และก็มาบอกกับทุกคน
พ่อแม่ก็ต้องปล่อยให้ลูกน้อยออกเดินทางไป  เห็นภาพการจากลาของลูกน้อย

แล้วพ่อแม่ก็อยู่ดูแลกันเพียงลำพังสองคน
จวบจนเฒ่าแก่ลง และชายหนุ่มก็จากลาไป ข้างกายหญิงสาว

เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการดำเนินของชีวิตมนุษย์แทบทั้งหมดเลย
เมื่อดิ้นรน จิตใจจะแสวงหา วิธีการ ไม่ยอมหยุดนิ่ง ใจจะร้อน เพราะไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ตนอยู่
พอเริ่มมีคนข้างกาย เริ่มหยุด หรือพอใจกับที่ตรงหน้า ก็หาวิธีการ
แล้วสร้างความสุขให้ตัวเองและคนข้างๆ  คุณค่าในการใช้ชีวิตในที่ตรงนั้นมีขึ้นมา
ทุกคนต้องพบกับการจากลา ไม่ว่าจะจากคนที่รัก หรือสิ่งใดก็ตาม
แม้ว่าโลกใบนี้จะสวยงามในความคิดมากเพียงใด สักวันหนึ่งก็ต้องจากลาทุกสิ่งลงนั่นเอง

@...Miiez...@

วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560

มุมมองจากหนัง



เมื่อวานดูหนังจบไป 2 เรื่อง  ให้ข้อคิดที่แตกต่างกัน

หนังเรื่องแรกที่ดู

The finest hours ชั่วโมงระทึกฝ่าวิกฤตทะเลเดือด



เรื่องนี้สำหรับเรา ดูแล้ว เรารู้สึก ทำให้เห็นถึงคุณค่าของการมีชีวิตมากขึ้น
เรื่องนี้ทำให้เห็นถึง 2 อาชีพ ที่มีความเสี่ยงกับทะเล
ทั้งคนที่ต้องเดินเรือ บรรทุกสินค้า ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ท้องฟ้าจะวิกฤติแปรปรวนตอนไหน
จะเกิดพายุกลางทะเล ทำให้เรืออับปางลงเมื่อไหร่ 
และคนที่ทำอาชีพ ยามดูแลชายฝั่ง เวลาที่มีพายุรุนแรง แล้วต้องออกไปช่วยคนในขณะนั่น
จะเลือกโกหก รักษาชีวิตรอด แกล้งหลงทาง หรือ ช่วยเหลือชีวิตคน แต่อาจไม่รอดกลับมา
เป็นเรื่องที่ดูแล้วถือว่า ลุ้นตั้งแต่ต้นเรื่อง จนจบเรื่อง ซึ้ง ดีใจที่กลับมาได้

 ทุกวิฤติ ย่อมสร้างวีรบุรุษเสมอ 
เห็นการแก้ปัญหาในยามวิกฤติของมนุษย์ ในเรื่องนี้ถึง 2 คน
คนแรกจากคนขับเรือ ที่รู้จักเรือดีที่สุด คนที่รับฟังเค้ามี แค่ 2 คนในเรือ แต่ยามวิกฤติ
เค้าคือผู้ช่วยชีวิตคนทั้งเรือ หาวิธีแก้ปัญหา ทำยังไงให้เรือ อยู่นิ่งๆ และ ไม่จมได้นานที่สุด
ทั้งที่เรือเริ่มชำรุด และกำลังจะอับปางลง  ต้องกลายเป็นผู้นำคน และสร้างให้คนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่า
เชื่อในสิ่งที่เค้าบอก  เพื่อให้ทุกคนเห็นเป็นฝั่งเดียวกัน และสามัคคี ทำตามกัน จนรอดมาได้

คนที่สอง จากคนที่เคยมีปมในปีก่อนหน้า แต่พอได้รับภารกิจที่ต้องลุยฟ่าพายุไปช่วยคน
เป็นคนที่ยึดมั่นตามกฏและเชื่อในกฏมาก   ไม่มีคำว่าแหกกฏ อยู่ในกรอบ
แม้กระทั่งเรื่องแต่งงาน ในกฏก็แค่เขียนไว้ว่าต้องแจ้งผู้บังคับบัญชา ตัวละครตัวนี้
ก็ต้องไปพูดขออนุญาติ ไม่งั้นรู้สึกว่าทำผิดกฏ  แสดงให้เห็นถึงเนื้อในของตัวละคร
แม้ขนาดที่ได้รับภารกิจ รู้ว่ามีโอกาสไม่รอดกลับมาสูงกว่า แต่ก็ต้องไป 
ขนาดถึงกลางทางที่เลยจุดที่อันตรายที่สุดมาแล้ว  เข็มทิศหาย วิทยุขาดการเชื่อมต่อ
หลายคนในทีมบอกให้กลับ แต่ด้วยเป็นคนทำตามกฏ  และคิดถึงคนที่รอความช่วยเหลือ
จึงเดินหน้าต่อ โดยใช้ความฉลาดของพระเอก เดินทางโดยอาศัยสัมผัสลมทะเล และ
ปิดไฟนำทางเพื่อใช้สายตามองให้เห็น จนสุดท้ายก็ได้พบเรือพร้อมผู้คนจำนวนมาก

ปัญหาเกิดขึ้นอีก เพราะเรือรับได้จุสูงสุด 20-22 คน แต่คนรอดชีวิต มีมากถึง 32 คน
คนในทีมให้ความเห็นว่า พากลับก่อนจำนวนหนึ่งแล้วค่อยมารับกลับอีกครั้ง
ตัวละครพระเอกยังคงหนักแน่น เนื่องจากมองเห็นเรือลำใหญ่ครั้งหน้า ที่กำลังจะอับปางลง
ถ้าไม่ให้ขึ้นเรือทั้งหมด คนที่เหลืออยู่ รอความช่วยเหลือ อาจจะไม่ทันเวลา
ก็รับลงมาหมด  และพูดประโยคกินใจว่า รอดก็ต้องรอดด้วยกันทั้งหมด ถ้าตายก็ตายทั้งหมด
ถึงคร่าวปัญหามาอีกแล้ว เข็มทิศไม่มี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนของกลางทะเล
จะพาทุกคนกลับฝั่งยังไง   วิทยุกลับฝั่ง ถูกสั่งให้พาไปขึ้นเรือลำใหญ่อีกลำข้างๆ
เป็นครั้งแรกที่พระเอก ตัดสินใจ ฝืนคำบังคับบัญชา เพราะเค้ารู้แล้วว่า เค้าเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
มากกว่า เค้าเพิ่งช่วยคนจากเรือใหญ่ จะพาคนทั้งหมด กลับขึ้นเรือใหญ่อีก คงไม่ใช่แนวทาง
เลือกตัดวิทยุลง  และเชื่อตัวเองความฉลาดของพระเอกมาอีกครั้ง
ปล่อยให้เรือโดนคลื่นซัดไปตามทะเล เพื่อรอให้พายุสงบลง แล้วค่อยตามแสงไฟ ไปถึงฝั่ง
เนื่องจากคลื่นจะซัดเข้าหาฝั่งอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องโต้คลื่น เพื่อไปให้ไกล
สุดท้ายแล้วก็พากันกลับมาถึง
คนที่รอก็ช่วยกันเปิดแสงไฟจากรถ เพื่อเป็นแสงนำทางให้คนที่อยู่กลางทะเลเห็น
เมื่อผ่านวิกฤติมาได้ คนที่รักกัน เจอหน้ากัน เหมือนได้เข้าใจในความรักของกันและกันมากขึ้น
เข้าใจความหมายของการมีชีวิตมากขึ้น  เป็นเรื่องที่ดูแล้วซึ้ง กินใจ เข้าใจในแต่ละตัวละคร
เข้าใจความเป็นมนุษย์ ทุกคนอยากมีชีวิตรอด แต่สุดท้าย ในทุกวิกฤติถ้าผ่านมาได้
ก็จะได้สร้างวีรบุรุษเช่นกัน

เรื่องที่สองที่ได้ดู

Don't Breathe ลมหายใจสั่งตาย


เป็นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจสุดๆ แต่ก็ได้เห็นความเห็นแก่ตัวของทุกตัวละครนะ
ทุกตัวละคร มีความเลวในตัวทั้งหมด  ความน่าสงสารในตัวละคร
ความยับยั่งชั่งใจของแต่ละตัวละครมีน้อย ต่างคนต่างมีเหตุผลในตัวเอง

โจร 3 คน เข้าไปบ้านลุงตาบอด เพื่อหวังปล้นเงิน เพื่อตัวเอง
ตัวนางเอก อยากพาน้องย้ายถิ่นหนีจากครอบครัว
ตัวพระเอก ด้วยความที่แอบรักนางเอก ต้องขโมยกุญแจพ่อ ไปช่วยนางเอกในการทำภารกิจ
ตัวแฟนนางเอก ด้วยความอยากได้เงิน ไม่สนว่าจะเป็นคนตาบอดหรือไม่

จะมีอยู่ตอนที่คุยในรถ ที่ทำให้เห็นว่า โจร รู้สึกผิดในการกระทำ
แต่ด้วยเหตุความเห็นแก่ตัว อยู่เหนือศีลธรรม เลยบุกเข้าไปและพบกับคนที่มีปมอีกหนึ่งคน
คนลุงตาบอด ที่คนภายนอกคิดว่า อ่อนแอ แต่กลับมีประสาทสัมผัสดี
และไหวพริบ ทักษะในการต่อสู้ เนื่องจากเคยเป็นทหารมาก่อน
แล้วก็ต้องไปเจอ ปมของลุงตาบอด ความเห็นแก่ตัวของลุง
ที่ซ่อนสาวคนหนึ่งที่ขับรถชนลูกสาวตัวเองเสียชีวิต เหตุผลของลุงคือคนรวยไม่เคยผิด
สู้คดียังไง ก็ไม่มีทางเอาผิดได้ เลยจัดการลงโทษสะเอง
เมื่อทำให้ชีวิตหนึ่งสูญหาย ก็ต้องสร้างอีกหนึ่งชีวิตมาคืน
จับหญิงสาว มาฉีดเปิร์มเข้าทางอวัยวะเพศ แล้วรอ 9 เดือน เพื่อคลอด
ไม่ใช้วิธีข่มขืน ลุงให้เหตุผลในใจตัวเองว่า ฉันเป็นคนดี มีคุณธรรมอยู่ แต่แันต้องการความยุติธรรม
ในเมื่อกฏหมายลงโทษไม่ได้  ฉันก็จะขอจัดการเอง 

พอพลาดยิงโดนสาวคนนี้ตาย ตัวนางเอกก็ต้องมารับกรรมต่อ นางเอกเลยได้รู้เรื่องทั้งหมด
และเกลียดลุงตาบอดมาก กล่าวหาว่าโรคจิต แต่ก็ไม่ดูความผิดตัวเอง
ที่แอบเข้ามาบ้านลุงเพื่อที่จะขโมยเงิน ทำให้คนทั้ง 2 ตาย เพราะความโลภ อยากได้ของคนอื่น
ถึงแม้นางเอกจะได้เงินไป และลุงก็ไม่ได้บอกว่ามีคนร้ายอีกคนคือนางเอก
เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง ส่วนหนึ่ง แต่ดูแล้ว อาจจะมีกับไปจัดการนางเอกด้วยมือตัวเอง
เพื่อมาชดใช้ความยุติธรรมหรือไม่ ใรจะไปรู้ได้

สุดท้ายดูเรื่องนี้จบแล้ว  ทุกตัวละครเห็นแก่ตัวหมด  มีเหตุผลในตัวเอง
ไม่รู้จักคำว่าอภัย  ความอยากได้ของคนอื่น ทำให้เกิดการฆาตกรรมที่น่าเศร้า
และ คำว่าไม่ให้อภัย เกิดการทารุณคนหนึ่ง เพื่อความต้องการของตัวเอง
ความไม่ไว้ใจ  นำไปสู่ ความตาย

ลองไปหากันดูนะ เพื่อจะได้แนวคิด มุมมองที่แตกต่าง

บางครั้งมุมมองจากหนัง อาจจะทำให้เราเข้าใจมนุษย์มากขึ้น
ข้อคิดจากหนัง ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเราได้
หนังทุกเรื่อง  มีข้อคิดอยู่ในหนัง มองให้เป็น แล้วเราอาจจะหลงรักการดูหนังก็ได้

@...Miiez...@

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ความกล้ากับความกลัว

ความกล้ากับความกลัว



เคยไหมที่เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง
เคยไหมที่บางครั้งเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เราไม่กล้าที่จะทำ
เคยไหมที่บางครั้งเราใช้สิทธิ์อะไรพิเศษแต่เราก็กลัวที่จะใช้
เคยไหมที่เรากลัวการทำสิ่งแปลกไหม สิ่งที่ไม่เคยทำ

ความกลัว ความไม่มั่นใจในตัวเอง
มีเหตุผลง่ายๆ แค่ไม่กี่ข้อ
คือกลัวว่าตัวเองทำอะไรผิด  และกลัวว่าคนอื่นจะมองเราไม่ดี

มีคนเคยสอนให้เราคิดง่ายๆ
นั่นคือกล้าที่จะให้คนอื่นมองเราไม่ดี และกล้าที่ตัวเองจะทำอะไรผิด

เพราะคงไม่มีใครทำถูกไปทุกเรื่อง
และคนทุกคนบนโลก คงไม่ได้ชื่นชอบในทุกการกระทำของเรา
จะกลัวไปทำไม ไม่ว่าคุณจะกระทำอะไร ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบในการกระทำอยู่แล้ว
แคร์คนอื่นมากไป คุณอาจจะไม่กล้าทำอะไรเลย

แค่เรากล้าที่จะยอมรับความคิด และการกระทำของตัวเราเอง
ถ้าทำผิดถูกดุก็ยอมรับในสิ่งที่ผิด แล้วนำมาปรับปรุงในครั้งหน้า
อย่าไปจมกับความผิดในอดีตที่ทำ ย้ำผิดในความคิด เราก็จะยิ่งกลัวในการทำสิ่งนั้น

เอาชนะความกลัวด้วยความกล้าในใจเราสิ
แล้วเราจะรู้สึกสัมผัสได้ถึง ความสุขในความกล้าของเรา
และได้เจอสิ่งใหม่ๆที่เราไม่กล้าทำ เพราะกลัวการลงมือทำสิ่งเหล่านั้น

เคยไหม มีสิทธิ์พิเศษ แต่ไม่กล้าใช้ เพราะอาย นั้นละคุณก็พลาดสิ่งดีๆ เพราะความกลัว
อายหรือ อายทำไม ทำอะไรผิดหรือ ก็ไม่นิ ลองปรับมุมมองที่ต่างดูสิ
นั่นคือเอกสิทธิพิเศษเฉพาะคุณ  คุณคือหนึ่งในคนพิเศษ นั่นก็น้อยคนที่จะได้ใช้
จงภูมิใจและมั่นใจที่กล้าใช้ ในสิทธิ์พิเศษ ของคุณ แล้วคุณจะรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้น

หรือบางครั้ง คุณเคยเสียเวลากับการค้นหาเส้นทางเองไหม ในการไปสถานที่แห่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นห้างก็ตามแต่  หรือไปโรงแรมแล้วหาวิธี ใช้อะไรในห้องไม่เป็น
คุณกลัวว่าคุณจะโง่ไง คุณเลยอาย  เลยต้องเสียเวลาเดินหา หรือบางทีเสียเวลาและไม่ได้ข้อมูล
เพราะมัวแต่กลัวเลยพลาดหลายสิ่งได้
แค่คุณกล้าที่จะเดินไปถาม Information  เพื่อถามเส้นทางในห้าง คุณก็ได้คำตอบแล้ว
แค่คุณกล้าที่จะโทรหา Reception โรงแรม คุณก็ได้ข้อมูลแล้ว
ทำไม ต้องทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก แค่คำว่ากลัวในใจคุณละ

แต่ความกล้าของคุณ ก็จงแค่กล้าในสิ่งที่ถูก และถูกที่ถูกคน มีเหตุผล ดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วย
มิฉะนั้น ความกล้าของคุณ อาจจะนำภัยมาให้กับตัวคุณได้

@...Miiez...@


วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560

สภาวะพักตัว


บ่อยครั้งที่ใจและกาย อ่อนแอลง เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง
เป็นธรรมดาของชีวิตคน ที่ขึ้นสนามประลอง
ก็ต้องมีหมดกำลัง เหนื่อยบ้าง หมดแรงบ้าง
ก็มีจุดพักยก หรือเรียกว่า สภาวะพักตัว  ปล่อยสมองให้โล่ง
ทิ้งสมองให้ว่าง เพื่อให้สมองและใจได้เบิกบาน  ปลอดโปล่ง
เตรียมพร้อม รับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต



เพราะบางครั้ง การที่เราลงมือทำอย่างเดียว สมองทำงานจนล้า
บางทีสมองก็ต้องการพักบ้าง  เพื่อจะได้ทำงานต่อ

ร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักร ไม่ใช่หุ่นยนต์
มีเหนื่อย อ่อนแรง เป็นธรรมดา

แต่สิ่งที่มีเหนือกว่าทุกสิ่ง คือใจจะต้องไม่ยอมแพ้
เพื่อเป้าหมายข้างหน้าที่อยากจะเดินไปถึง

บางทีใจและสมองเรา  มีข้อมูลมากเกินไป จนล้น
แต่พอได้ให้สมอง ร่างกาย และ ใจ ได้พักลง

สิ่งที่เราจะได้พบอย่างประหลาด คือ ความเบาบาง ผ่อนคลาย
ไอเดียต่างๆ ก็โลดแล่นกลับคืนมา อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ด้วยการที่เราได้พัก เป็นหนึ่งสิ่งที่ ให้เราได้หยุดทบทวน
และฟังเสียงหัวใจตัวเอง  เสียงความคิดที่ซ่อนอยู่
เสียงจินตนาการที่ลึกล้ำ  เสียงจากสิ่งแวดล้อมที่คอยบอกเรา

หยุดจดจ่อและโฟกัสเพียงชั่วขณะ
แล้วคุณอาจจะได้พบกับหลายสิ่งที่คุณอาจจะมองข้ามไปได้

เดินต่อไป....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

ธรรมชาติจัดสรร


คุณเชื่อในธรรมชาติจัดสรรไหม



ทำไมนะ คนเราถึงเจอกัน ในที่ที่หนึ่ง
ทำไมนะ คนเราถึงถูกใจกัน ในที่ที่หนึ่ง
ทำไมนะ คนเราถึงสนิทกับ ใครบางคน ในช่วงๆหนึ่ง

หลายเหตุผล ที่ทำให้คนมาเจอกัน มารวมกัน
บางครั้งก็มองว่า ธรรมชาติ จัดสรร
แต่บางครั้ง เรามองว่า กรรมจัดสรร ต่างหากละ

คนเราเลือกที่จัดสรร กรรม ในแบบที่เราเป็นได้
เราเลือกได้ ที่จะเข้าอยู่กับที่แห่งไหน อย่างไร

เข้าแล้วชื่นชอบ จิตเราใฝ่หา  กรรมจากจิตที่ชื่นชอบ ก็จะนำพาเราไปสู่สังคมนั้น
เข้าแล้วไม่ชอบ จิตเราก็จะไม่สุนทรีย์ จะนำเราออกมาจากจุดนั้น

มันคือ กรรม จัดสรร ให้เราเป็น ในแบบที่เป็นเรา
เราเลือกทุกอย่างได้จากตัวเรา  เราเลือกได้ว่าจะอยู่ในสังคมแบบไหน

ผู้คนแบบไหนที่เราเลือกจะเข้าหา
ผู้คนแบบไหนที่เราจะหลีกหนี
ไม่ใช่ว่าเราเลือกอย่างเดียว แต่ผู้คนก็เลือกเราด้วยเช่นกัน

เคยมีคนกล่าวกะเราไว้ว่า
อยากรู้ว่า คุณเป็นคนแบบไหน
ลองดูเพื่อนที่คุณเลือกคบสิ ไม่ต่างจากคุณมากหรอก
ต้องมีบางสิ่งบางอย่าง ที่คล้ายกับคุณ
พึงใจในนิสัยบางอย่างของกันและกัน นั่นเองแล

โลกใบนี้ สวยงามหรือไม่ อยู่ที่คนจะมอง
แต่โลกก็อยู่ในความเป็นโลกไปแบบนั้น
มีแต่จิตใจมนุษย์ ที่หลงวน อยู่กับโลก อย่างนั้นแล

เริ่มหลงกับโลกเมื่อไหร่ ก็น้อมทุกอย่างลงมาดูจิต 
มองให้เห็นสัจธรรมต่างๆของชีวิต 
สิ่งที่เจ้าจักหลง จักหายไป ดูมันเถิดหนา
มองให้เห็น จักได้ไม่ลุ่มหลง กับกิเลสมากนัก

หลงสุข จมทุกข์ จิตมันก็วนเวียนแบบนั้นแล
หลงดี เกลียดเลว  จิตมันก็ติดอยู่นั่นแล
หลงงาม  ติดรูป  จิตมันก็หลงอยู่นั่นแล

ไม่มีสิ่งใดเที่ยงหนอ อย่ายึดกับสิ่งใด แต่ทำสิ่งที่คิดว่าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
กับทุกการกระทำของเรา  พึงรักษา กาย วาจา ใจ เราให้ดี
ระวังแค่ กาย วาจา ใจ เรานี้แล ไม่ต้องดูไกล ดูที่จิตเรานี้แล
แค่นี้ก็พอแล้วละ  

เดินทางต่อไป แบบมีสติ รู้ทันกิเลส รู้ทันใจตน
น้กเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

โดนกิเลสล่อลวง


โดนกิเลสล่อลวง

เปิดตู้เย็นแล้วเจอไอติม รสโปรด 


สักพักโดนไอติม สะกดจิตใส่ในความคิด
กินฉันสิ กินฉันสิ กินฉันสิ  หยิบฉันขึ้นมา กินฉันสิ
สุดท้ายมือน้อยๆ ก็เอื้อมไปหยิบ น้องไอติม ออกจากตู้เย็น
และทำตามเสียงไอติมที่สะกดจิตลงไป

ฮ่าๆ  ไขมันลงท้องเรียบร้อย  ยามเย็นคงต้องออกกำลังกายรีดไขมันต่อ

บางครั้งมนุษย์เรา ก็แพ้กิเลส ง่ายๆ แค่ใจมโนไปถึง รสสัมผัส ที่เคยได้ลิ้มลอง
ความอยากก็เกิดการกระตุ้น ให้เกิดการลงมือ กระทำ เพื่อได้สัมผัส

เปรียบได้เหมือน เวลาคน ชอบกระทำบางสิ่ง บางอย่างให้เกิดความสำเร็จผล
บางครั้งไม่ได้หลงไหลในตัวเงิน  แต่คนเหล่านั้นหลงไหลในความรู้สึก ชนะ ในการกระทำต่างหาก
ความอยากเอาชนะ  ความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง 
จึงก่อให้เกิดการกระทำ เพื่อผลบรรลุ สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง

จากไอติม สู่ ข้อคิดได้ยังไงเน้อ
สนุกกับการคิด สนุกกับการเรียนรู้ 
เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

คำว่า รู้ กับ ไม่รู้


บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่า เราอาจจะทำได้ไม่ดี อาจจะดีแล้ว
บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่า เราอาจจะทำดีแล้ว อาจจะยังไม่ดีก็ได้
สิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราคิด



แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเราทำเต็มที่แล้วหรือยัง
อย่าเพิ่งสนใจในผลลัพท์ แต่ให้สนใจว่า เราลงมือทำเต็มที่ และสุดความสามารถของเราแล้วหรือยัง

ในแต่ละครั้งที่เราลงมือทำสิ่งใดก็ตามแต่
ไม่มีใครรู้ข้อมูลทุกสิ่งหรอก
โลกใบนี้มีแค่ 2 อย่างเท่านั้นละ คำว่า รู้ กับ ไม่รู้
อยากรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็เรียนรู้ ใส่ใจ เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งนั้น
แล้วคุณจะได้พบกับคำว่า รู้ ในสิ่งๆนั้น
คำว่ารู้ อาจจะมาจากการบอกเล่า จากคนที่เคยเดินเส้นทางเหล่านั้นมาก่อน
หรือว่า ตำราที่คุณได้ไปเสาะหามาอ่าน
วิดีโอ ที่คุณได้ไปรับชมฟัง เพื่อเรียนรู้
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็อย่าลืมที่จะ ลงมือทำ เพราะนั่นคือคำว่ารู้จริงจากปฏิบัติไม่ใช่แค่ทฤษฎี

ลงมือทำให้เต็มที่ แล้วเรียนรู้จากสิ่งที่ทำ
แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด พัฒนาให้ดีกว่าเดิม

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

สายฝนกับความทรงจำ


วันนี้นั่งมองสายฝน ยามที่ฝนตกฉ่ำเย็น
บรรยากาศช่างดูน่าหลับไหลมากเหลือเกิน



อากาศแบบนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราวอดีตต่างๆมากมายเข้ามาในหัว
ความทรงจำดีๆมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เห็นสายฝน แล้วก็อดนึกถึงไม่ได้จริงๆ

เรื่องราวกับสายฝน ทั้งยามเด็ก จนเติบใหญ่
ผ่านอะไรมามากมาย กับสายฝนที่เย็นฉ่ำเหล่านี้

ได้อารมณ์ที่ดูเหงาๆ คิดถึง เข้าใจสายฝน ที่ทำหน้าที่ ก็ยามนี้ละ
หยุดมองดูสายฝน หยุดงานที่อยู่ตรงหน้า วางลงแบบชั่วคราว
เสียงซ่าๆ ที่ดังไหลริน  เสียงฟ้าผ่าที่ดังเปรี้ยงๆ 
มองดูฝนฟ้า ที่แปรปรวน แล้วหันมาน้อมดูจิตใจเรา ก็ช่างปรวนแปร ไม่ต่างจากฟ้าฝนเลย

พอฝนหยุดตก ฟ้าที่ดูมืดมิด ก็เริ่มสว่าง
ไอจากน้ำฝนยังคงเจือจาง  ความเย็นยะเยือก ยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ
ไม่ต่างจาก ภวังค์ความคิดความทรงจำ ที่ยังคงเหลืออยู่ แม้ช่วงเวลาผ่านไปก็ตาม

สุขที่ได้นึกถึง สุขที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุขเพียงใจมโน
อิ่มเอมใจในสายฝนที่ดูเหงาๆ ดีดตื้นความทรงจำห้วนกลับมา

รักในสายฝนพร่ำ ฉ่ำเย็นในหัวใจอีกครั้ง

@...Miiez...@

อยู่อย่างเป็นสุขได้ ต้องมี ๓ 'ช่าง'

อยู่อย่างเป็นสุขได้ ต้องมี ๓ 'ช่าง'

๑. 'ช่างกู' คือ ไม่แคร์สื่อไม่สนขี้ปากชาวบ้าน ใครจะว่านินทาอะไรก็ช่าง เราทำของเราให้ดีเป็นใช้ได้

๒. 'ช่างมึง' คือ ไม่ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ใครจะเอาเรื่องใครมาโพนทนาให้เราฟังก็อย่าไปเก็บมาใส่ใจให้รกสมอง

๓. 'ช่างมัน' คือ อะไรเกิดขึ้นมาแก้ได้ก็แก้ไป แต่ถ้าทำจนสุดวิสัยแล้วแก้ไม่ได้ก็ปล่อยมันไป อะไรอยากจะเกิดก็ปล่อยมัน รักษาใจของเราไว้อย่าให้เศร้าหมองก็พอ

ถ้ามี ๓ ช่างนี้ไว้ อยู่ไหนก็ไม่ทุกข์!

วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

บันทึกการเดินทางวันหยุด

 บันทึกการเดินทาง

วันนี้วางเดินทางไปทำบุญ ถวายสังฆฑาน ต่อ แถวอยุธยา
การเดินทางมักได้พบเรื่องราวที่ประทับใจเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เริ่มจากร้านชากังราวในปั้ม ระหว่างที่จอดแวะปั้ม
ก็เผอิญนั่งรอในรถ ได้ฟังการตลาดจากเจ้านี้โดยบังเอิญ ไอเดียบังเกิดได้แบบไม่น่าเชื่อ
ใครจะรู้ละว่า ไอเดียงานจะมาเกิดได้ในปั้มน้ำมัน

วันนี้ฟ้าดูมืดคลึ้มหน่อย คล้ายว่าฝนจะลงเม็ดแน่ๆ  แต่ก็ไม่มีอะไรหยุดเราจะมาทำบุญได้
ขับไปเรื่อยๆ เข้าวัดแบบไม่มีจุดมุ่งหมายว่าจะเป็นวัดอะไร
พี่อยากได้แบบวัดที่ดูห่างไกล และ ทุรกันดารหน่อย

มาถึงแล้ววัดแรกที่เข้ามาพบเจอ วันจันทาราม


วัดน้ำท่วม หาพระไม่เจอ เลยขับออกต่อ แต่เข้ามาวัดนี้ มีคำถามเกิดขึ้นในหัวทันใดเลย
ถ้าเราต้องเจอปัญหาน้ำท่วมแบบนี้ อย่างเดิมทุกปี  ถ้าต้องอยู่ก็ต้องรับมือ 
เตรียมความพร้อมกับน้ำท่วมแบบนี้  แต่ถ้าอีกทางคือการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเอง
คือ การออกจากปัญหาเหล่านั้น เดินออกมาจากที่ๆอยู่ เพื่อไปเผชิญและเรียนรู้กับที่แห่งใหม่
ก็ไม่แตกต่างกับการใช้ชีวิต  หากสิ่งที่ทำอยู่ต้องเจอปัญหาเดิมๆตลอด  ก็มี 2 ทางเลือก
ถ้าจะอยู่กับปัญหาให้ได้ ก็ต้องเตรียมรับมือกับปัญหาที่ต้องเจอให้ดีขึ้นกว่าเดิม 
หรืออีกทาง คือ ออกจากปัญหา แล้วเลือกทำสิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิตเราได้เรียนรู้ 
เพื่อจะเจออะไรที่ดีกว่าที่เป็นอยู่  มีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น 
คืออยู่กับปัญหาให้ได้ หรือ ออกจากปัญหานั้นไปเลยต่างหากละ 

วัดที่สองที่ไป มีความตื่นเต้นเล็กน้อย ชื่อว่า "วัดใหม่"  ไม่ตื่นเต้นได้ไง 
ชื่อวัดมีตั้งหลายวัด มาเจอวัดชื่อเดียวกับตัวเราเอง บุญพาวาสนาส่งสะแล้ว
ยังไงก็ต้องเข้าไปทำบุญให้ได้  แม้ทางเข้าวัดจะดู มึนๆ งงๆ เล็กน้อย 




ไปถึงก็ต้องเดินลงไป สำรวจดูลู่ทางวัดดูสะก่อน หาที่ถวายสังฆฑาน ก่อนจะมาบอกให้ทุกคนลงไป
ไปวัดนี้ จะเดินขึ้นลงรถนี้ ต้องระวังมาก มีสติในการดูทางสุดๆ เพราะ อุนจิน้องหมาเยอะมาก
เผลอขาดสตินี้ เหยียบมาได้ต้องทำความสะอาดรองเท้ากันพลันเลยละ
มาวัดนี้ หลวงพ่อท่านก็ถามว่า พวกเรามาจากไหนกัน ก็ตอบท่านไปว่ามาจาก กทม. เจ้าค่ะ
เราถวายให้เสร็จ ก็มองหน้ากันว่าจะกลับกันละ  หลวงพ่อเลยบอก ให้เอาที่กรวดน้ำมา
แล้วท่านก็ให้พรพร้อมพรมน้ำมนต์ให้ แล้วเราก็กราบลา และเดินทางไปวัดถัดไป

ระหว่างเดินทางไปวัดนี้ พวกเราเลือกที่จะเข้าทางที่ไม่ใช่ทางปกติ  ดูน่าจะทุรกันดาน
แต่ด้วยความที่เข้าไปลึก นอกจากไม่เจอวัด บ้านคนก็แทบไม่ดี ดูช่างเปล่าเปลี่ยว
ความน่ากลัวเริ่มบังเกิด  เหมือนขับรถคันเดียวอยู่บนทางแคบๆ ห้อมล้อมด้วยทุ่งนา
ที่อุดมไปด้วยน้ำ อาจจะท่วมมิดถนนได้ ถ้ามีฝนลงมา  ยิ่งขับลึก ยิ่งไม่มีผู้คน
เลยตัดสินใจ ออกจากเส้นทางนี้ แล้วไปเส้นทางใหม่  แต่สิ่งที่ได้จากการที่เข้าเส้นทางนี้
คือประสบการณ์และความรู้สึก ภาพสวยๆ สงบๆ ที่มองดูช่างสบายตาเหลือเกิน



ชอบจริงๆ ทางเดินยากๆ ที่คนส่วนใหญ่ ไม่มา แต่สุดท้ายเราก็กลับไป ตามวัดสวยๆบ้าง 
ที่ๆเรามองเห็นก่อนหน้า เลยเข้าไปดู เป็นวัดไผ่ล้อม ดูสวยดี เลยขับเข้าไป น้ำท่วมที่วัดอีกแล้ว


เลยขับออกไปดูพระพุทธรูปองค์ใหญ่ และเจดีย์ที่สูงสง่า ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามวัด  



ทางเข้าวัดเป็นทางที่ทำถนน ทำร้ายรถพอสมควรเลย เริ่มสงสารน้องเนอร์ละ 
เลยขับออกไปอีกทาง ไปทางหลักอยุธยาแทน จะได้ออกจาก เส้นทางทำถนนเส้นนี้สะหน่อย
ขับไปเรื่อยๆ เจอวัดนี้ ชื่อดูเพราะจัง น่าเข้าไป ก็เลยแวะเข้าไปสักหน่อย
วัดกำแพงแก้ว 



เข้าไปก็ตามเสต็ป ส่งสปายน้อยแบบเราให้เดินไป สำรวจ หาพระ แล้วถามที่ถวายสังฆฑาน 
วัดนี้ดูแล้วน่าจะมีผู้คนมาทำบุญตลอด  คล้ายๆ สมัยเราเรียนตอนมัธยมเลย
หลวงพ่อคิดว่าเราจะเข้าห้องน้ำ เลยบอกท่านไปว่า มาถวายสังฆฑานเจ้าค่ะ
ท่านเลยบอกให้เข้าไปตรงไหน แล้วท่านก็เดินไปด้านใน
เราก็ไปตามพี่ๆ ลงไปทำบุญกัน  ก็ช่วยกันเอาของลงไปถวายสังฆฑาน 
เข้าไปถึงด้านใน  หลวงพ่อก็ให้เรากราบพระ ตั้งนะโม 3 จบ แล้วกล่าวคำถวายสังฆฑาน 
แล้วก็ให้เรากรวดน้ำ  ท่านก็พรมน้ำมนต์ตามพิธีการ เสร็จสรรพ  จากนั้นท่านก็สอบถามปกติ
มาจากที่ไหนกัน แล้วก็คุยไปเรื่อยกันอีกสักพัก ก่อนจะกราบลากลับ ท่านก็ให้พระคนละ 1 องค์ 
เป็นที่ระลึก และอวยพรให้พวกเราโชคดี  อิ่มบุญมีความสุข 
ที่วัดนี้มีทั้งอาหารปลา อาหารเต่า แวะมาเที่ยวทำบุญกันได้นะ บรรยากาศก็ดูดีเหมือนกัน 
ก่อนจะออกจากวัดนี้ เราก็ไม่ลืมที่จะหยอดเหรียญใส่ตู้ทำบุญ หลายๆตู้ เล็กๆน้อยๆ 
ที่มีความสุขจากการให้ ในครั้งนี้จัง  

ออกจากวัดนี้ ก็ขับรถเพลินๆ ไปเรื่อยๆ เข้าไปสวนสาธารณธ อุทยาน ท้าวสุรนารี มั่งท่าจำไม่ผิด
ก็ขับรถวนในนี้ บรรยากาศดีมากๆ ไม่ได้ถ่ายภาพมา มั่วแต่ชื่นชมบรรยากาศเพลิน 
ขับเพลินจนเจอตลาด ก็ให้พี่ แวะให้เราลงเดินไปซื้อของให้พี่ๆคนเดียว 
แล้วก็ให้พี่ไปวนรถมารับอีกที เดินหาของกินเพลินตาเลยทีนี้  ของเพี้ยบราคาไม่แพงเลย
ได้ลูกชิ้นกลับมา 10 ไม้ ในราคา 50 บาท ไก่แดง 9 ไม้ พร้อมข้าวเหนียว 2 ห่อ ในราคา 70 บาท 
ขนมอะไรไม่รู้ดูน่ากิน ห่อ 20 บาท  น้ำตาลสด 3 ถุง ราคา 30 บาท แตงโม 2 ลูก ราคา 35 บาท
ซื้อเยอะแยะขนาดนี้ เพิ่งจะ 205 บาทเอง   กินจนจุกท้องเลย อิ่มเกิน 555

ตอนนี้ก็จะเดินทางไป สำนักสงฆ์ไทรย้อย  มีจุดหมาย จะแวะไปเที่ยวชม ทำบุญสะหน่อย 
แต่ยังไม่วาย เจอวัดไหน ก็ขับไปดูเรื่อยๆ วัดไหนดูแล้ว อยากทำก็ทำ  
วัดไหนไม่อยากทำ ก็ขับออก เอาตามความสบายใจของทุกคน จะทำบุญก็ต้องสบายใจ
จิตก็ต้องเป็นกุศลตั้งแต่เริ่มจะทำเน้อ  ก็ได้แวะมาโดยบังเอิญ 

จำชื่อวัดไม่ได้ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้สะด้วยสิ
เข้าวัดนี้ก็ หลวงพ่อก็กล่าวถามด้วยคำถามเดิม มาจากที่ไหนกันละ และทำสังฆฑานในโอกาสอันใด
น่าจะเป็นคำถามปกติ หรือคำกล่าวทักทายได้เลยละ แต่ก็สุขใจแบบเรียบง่าย
กล่าวสนทนากับหลวงพ่อสั้นๆ แล้วก็ทำตามพิธีการถวายสังฆฑานเสร็จสรรพ 
จบด้วยการได้รับพรและพรมน้ำมนต์ พร้อมคำอวยพรดีๆจากหลวงพ่อ 
ก่อนไปด้านหน้ามี ที่ให้สักการะ พระเจ้าตากสิน จึงได้เข้าไปกราบไหว้ เล็กน้อยก่อนเดินทางกลับ

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมาย สำนักสงฆ์ไทรย้อย แต่ยังดูงงๆ พร้อมกับฝนฟ้าที่ดูมืดครึ้มมาก 
จึงตัดสินใจเดินไปสำรวจ ครู่นึง แล้วขึ้นลง พี่ก็บึ่งรถออกโดยไว 
แต่ฝนตกหนักมากเลยละ มันมาพร้อมกับพายุ ลมแรงมาก  
อารมณ์ประมาณฟ่าพายุฝนมาเลยละ ทั้งสายฟ้าผ่า ฝนตกหนัก จนขับรถได้ไม่เร็ว 
แต่ละคันต้องขับกันช้ามาก   เพราะลมแรงมากเลย แต่พอผ่านที่อยุธยา ฟ้าก็โปร่งใส 
เหมือนที่นี้จะยังไม่ตกเลยด้วยซ้ำ  พี่พูดขึ้นมาว่า หลังฝ่าพายุหนักย่อมเจอกับทางที่สดใส 
จริงเลย เหมือนชีวิตคนเรานะ ที่ต่อให้เจอกับอุปสรรคสะแค่ไหน ปัญหาหนักมากมายในชีวิต
แต่เมื่อผ่านพ้นกาลเวลาเหล่านั้นไป จะเดินช้าหน่อยในช่วงมีปัญหา หรืออุปสรรค 
แต่พอเดินผ่านมาได้ ก็ได้พบกับแสงสว่างที่รอเราอยู่ด้านหน้าเสมอ 

ช่างเป็นหนึ่งวันที่ฉันมีความสุขจริงๆ  การเดินทางที่คุ้มค่า 
ไม่ใช่สักแต่เดินทาง แต่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับทุกการเดินทาง 
เราจะได้พบกับเรื่องราวดีๆ ประสบการณ์ดีๆ ที่มีคุณค่าเสมอ 
รักการเดินทางเหลือเกิน  นักเดินทางตัวน้อยๆ ^^

@...Miiez...@

วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560

สุดสัปดาห์ ทำอะไรดี


สุดสัปดาห์ของแต่ละคน หมดเวลาไปกับอะไรบ้างหรอ?



พักผ่อนกับครอบครัว
ไปเที่ยว สังสรรค์กับเพื่อนๆ
ไปหาความรู้ใส่ตัวเอง
นั่งทำงานในวันหยุด
หรือจะอยู่บ้านนอนพักผ่อน


เวลาแต่ละวินาทีที่หมดไป มีคุณค่าในแต่ละช่วงเวลา
ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะให้ความสำคัญของเวลาในช่วงนั้นอย่างไร

เราก้าวเดินสู่อดีตทุกวินาที
บางครั้ง การได้พักผ่อน ในแต่ละช่วงเวลา ของชีวิต
ก็พอจะสามารถ ให้สมองได้พบกับความปลอดโปร่งบ้าง
ให้ได้หยุดพัก วางกับทุกสิ่งที่อยู่ในหัวลง แล้วมองนิ่งๆ ในจิตใจเราลงบ้าง

ความสุขที่ไม่ต้องหาซื้อด้วยตัวเงิน
แต่เป็นความสุขที่คุณต้องเอาเวลามาแลก
และการปลดปล่อยพันธนาการชั่วคราว อยู่กับใจตัวเองนิ่งๆ
เป็นความสุขที่เบาตัว และเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น

ออกจากวังวนในการพักผ่อนสมอง
ก็กลับเข้าสู่วงโคจรของโลกที่วุ่นวาย และสร้างสรรค์ผลงาน ให้โลกจดจำ ในแบบที่เราเป็น

ใช้ชีวิตให้เรียบง่าย  ยิ่งเข้าใจโลกมากเท่าไหร่
จะยิ่งเบาใจลงเท่านั้น   รักเวลาที่ตัวเอง เบาสบายใจ แบบนี้ทุกที่เลย

@...Miiez...@


วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

การแบ่งสัดส่วนรายรับ


การแบ่งสัดส่วนรายรับที่เข้ามา 
เพื่อนๆมีวิธีแบ่งกันอย่างไร มาแชร์กันบ้างได้นะ
ไม่มีใครผิดใครถูก เป็นแค่มุมมองจากเรานะ



ในตอนแรกของการลงทุน อาจจะบ้าลงหมดเลย
แต่พอสมัยเริ่มมีรายได้ที่คงตัว
เราเริ่มจะเมจแนจรายรับไว้เป็น 4 ส่วน

ส่วนแรกคือเงินที่หมุนในธุรกิจ ให้ต่อยอดในเงินของส่วนนั้นเอง
ส่วนที่สองคือเงินเก็บ หรือเราเรียกว่า Money Save Back
ส่วนที่สามคือเงินที่ให้รางวัลตัวเอง
ส่วนที่สี่คือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

แต่ละส่วนมีความสำคัญพอๆกันเลยละ 
เราแบ่ง 60 % เป็นเงินหมุนต่อยอดในธุรกิจ
เพราะถ้าธุรกิจเราดี จะCover ได้ในทุกส่วน และถึงแม้รายได้จะเข้ามาเยอะ
แต่เม็ดเงินในการต่อยอดธุรกิจก็เยอะพอตัวเช่นกัน
เม็ดเงินในระบบส่วนนี้ ก็ให้ไหลเวียนในสัดส่วนของตัวระบบเอง
เพราะถ้าส่วนนี้เริ่มนิ่ง เริ่มมีเงินในระบบเยอะขึ้น
แสดงว่า เรากำลังหยุดนิ่งในการพัฒนาธุรกิจเราอยู่
มีส่วนไหนที่สามารถอัฟเพิ่มในตัวระบบได้ มีส่วนไหนที่จะสามารถต่อยอดได้
ก็ต้องดูและประเมินต่อไป

ส่วนที่สองคือเงินเก็บ เราแบ่งสัดส่วนนี้ 10 %  จากรายรับที่เข้ามา
ส่วนนี้เป็น Money Save Back ถ้ารายได้เยอะ เงินประกันในอนาคตของเราก็เยอะเช่นกัน
ส่วนนี้เราจะแยกออกมาอีกสัดส่วนหนึ่งไว้  ไว้สำหรับลงทุนต่อยอดเงินที่มองเป็นเงินไหล
อีกส่วนหนึ่ง เราวางไว้นิ่งๆ เผื่อฉุกเฉิน 

ส่วนที่สามคือ เงินที่ให้รางวัลตัวเอง เราแบ่งสัดส่วนนี้ 10 %
ใน 1 ปี เราจะแพลนที่จะให้เวลากับครอบครัว พาพ่อแม่ไปเที่ยว
เดินทางเก็บประสบการณ์ หาความสุข ทำในสิ่งที่เราชอบ  เรียนรู้ในสิ่งที่อยากเรียน
ซื้อของที่อยากได้  ให้สังคม ทำบุญ ทำสิ่งดีๆให้กับตัวเราและผู้อื่น

ส่วนที่สี่ คือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนนี้เราให้ 20 %
ค่าใช้จ่ายประจำวัน อาหารการกิน ค่าน้ำมันรถ
ค่าใช้จ่ายในบ้านแต่ละเดือน  ส่วนนี้ถ้าเหลือในแต่ละเดือน
ก็จะถูกโยกเข้าไปอยู่ในสัดส่วนของเงินเก็บต่อ

การแบ่งสัดส่วนก็ขึ้นอยู่กับรายได้ที่มาของเราด้วย
หากคนทำงานประจำ การแบ่งสัดส่วนก็คงจะไม่เหมือนของเรา
แต่จะแนะให้แบ่งสลับ ระหว่าง  ส่วนที่หนึ่งและส่วนที่สี่
โดยส่วนที่หนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน 
ส่วนที่สี่เป็นเงินในสัดส่วนที่จะนำมาลงทุนในธุรกิจหรือการลงทุนรูปแบบต่างๆ
ขึ้นอยู่กับการออกแบบในชีวิตของเราเอง

ถ้าไม่ได้วางแผนการเงินเลย ทำงานจนอายุมากขึ้น อาจจะไม่มีเงินเก็บเลยก็ได้
สัดส่วนที่จะแบ่งได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า คุณมีรายได้และรายจ่ายเท่าไหร่
ลองแบ่งแต่ละสัดส่วนให้พอดีกับตัวเราดูสิ
ประเมินตัวเรา และ ออกแบบที่เราทำได้ คุณอาจจะมีเงินเก็บมากกว่าเดิมก็ได้

ชีวิตจะดีขึ้น ถ้ารู้จักประเมินตัวเอง
 
@...Miiez...@


คำพูดการกระทำกับสังคม


การอยู่กับสังคม พึงระวังการกระทำ คำพูด ให้มาก
ต่างคน ต่างความคิด ต่างการกระทำ



ทุกคนมีการปลูกความคิดกันมาคนละรูปแบบ มารวมตัวกัน มาอยู่ในกลุ่มวงสังคมหนึ่ง
บางคนเฮฮา เล่นเป็นเรื่องตลกได้ทุกเรื่อง
บางคนดูขรึมจริงจัง ซีเรียสกับทุกเรื่อง
บางคนถือตัว เล่นไม่ได้
บางคนคิดมาก พูดไรนิดหน่อย ก็เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย
บางคนเตือนไม่ได้ บางคนเตือนได้

หลายคน หลายนิสัย รวมอยู่ในสังคม
เราไม่รู้ว่าใครนิสัยอย่างไร คิดอย่างไรกัน ยากแท้จะหยั่งได้ลงลึกถึงจิตใจคน
การจะกระทำสิ่งใด พูดวาจาอะไร ก็ต้องพึงระวัง
ไม่งั้นคนที่จะเสียคือตัวเราเอง  น้อยนักที่จะมีคนที่จริงใจ
ที่จะกล้ากล่าวตักเตือนเรา ว่าเราทำสิ่งนั้นไม่ถูกนะ
ส่วนใหญ่ก็จะเลือกที่จะไม่พูด ไม่บอกสะมากกว่า

ใครที่กล้ากล่าวตักเตือนเราในสิ่งที่เราทำไม่ควรอยู่
นั่นละมิตรแท้สำหรับคุณ  แต่เราก็ต้องพึงระวังคำพูด การกระทำอยู่ดี
การรักษาน้ำใจ คนที่พูดด้วยนั่นก็ควรกระทำ สำหรับการอยู่กับผู้คน
เพราะคงไม่มีใครชอบ คำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกกันหรอก

ปลูกอย่างไรก็ได้อย่างนั้น
อยากได้การพูดจาดีๆ อยากได้การแสดงน้ำใจที่ดี อยากได้การกระทำดีๆให้
ก็เริ่มจากการเป็นคนทำแต่สิ่งดีๆให้ก่อน และอย่าคิดมากกับหมู่เพื่อน
แต่จงคิด ไตร่ตรองก่อนที่ตัวเราจะพูดและกระทำกับใคร
เรามิอาจห้ามความคิดและการกระทำใครกับเราได้
แต่เราเลือกได้ ว่าจะปฏิบัติกับผู้อื่นเช่นไร 


อยู่กับผู้คนก็ควรระวังคำพูด
อยู่กับตนก็ควรระวังความคิด

ผิดรู้จักขอโทษ  มีคนทำให้ไม่พอใจ จงให้อภัย
สังคมไม่ได้น่ากลัว แต่ต้องรู้จักอยู่ให้เป็น  ไม่งั้นภัยจะมาเยือนถึงตัวเราได้

@...Miiez...@

รายจ่ายตัวเลขที่น่าคิด


หลายคนมุ่งแต่การหารายได้ จนลืมที่จะอุดรอยรั่วรายจ่าย
คุณเป็นอยู่ไหม หาเงินได้เยอะ แต่ไม่มีเงินเก็บ
คุณเป็นอยู่ไหม หาเงินไม่พอค่าใช้จ่าย
คุณเป็นอยู่ไหม ปลายเดือน เงินหมด ต้องกินมาม่า
คุณเป็นอยู่ไหม หาเงินได้ แต่กังวลว่าเงินจะหมดตลอดเวลา



สิ่งแรกที่คุณต้องทราบเลยคือ
รายจ่ายที่จำเป็นของคุณในแต่ละเดือนมีอะไรบ้าง
รายจ่ายที่ไม่จำเป็นในแต่ละเดือนของคุณมีอะไรบ้าง
สิ่งไหนที่จะเป็นรายจ่ายที่เป็นรางวัลตัวเอง
สิ่งไหนที่จะเป็นรายจ่ายฟุ้งเฟ้อ

ใน 1 เดือน คุณหมดค่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง
แล้วคุณมีรายรับ เดือนละเท่าไหร่

การแบ่งรายรับมาเป็นสัดส่วนก็สำคัญพอตัว
ไม่ว่าจะทำธุรกิจ หรือทำงานประจำ ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่มีเงินเก็บได้ ถ้าไม่คุมรายจ่าย
เคยเจอคนที่หาเงินได้วันละเป็นแสน แต่สามารถใช้จนหมดได้
ไม่มี Money Save Back ไว้เลย
เพราะเค้าคิดว่า เดี๋ยวก็หาได้อีก เป็นความคิดที่อันตรายมาก
ตามจริงในโลกของธุรกิจ หรือล้วนทุกสิ่งบนโลกใบนี้
มันไม่มีอะไรเลยที่แน่นอน  คนที่มีเงินหลักพันล้าน ยังหายได้ในพริบตาช่วงยุค 40
คนที่ไม่มีอะไรเลย ยังเป็นคนที่รุ่งเรืองได้

ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนก็จริง
แต่ตัวเราก็สามารถวางแผน ทางเดินให้ดีที่สุดได้
หาเงิน วางแผนรายรับรายจ่าย แบ่งสัดส่วนให้ชัดเจน
ทั้งการต่อยอด ค่าใช้จ่าย รางวัลตัวเราเอง และคนรอบกาย
เราก็สามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ไม่ยาก

แนะนำว่าให้ทำรายรับรายจ่ายในชีวิตประจำวันดูนะ
เพราะตัวเลขเหล่านี้ เราจะรู้ว่าเราใช้อะไรบ้าง และหมดไปกับอะไร
และมีรายรับแค่ไหน ที่พอจะให้รางวัลตัวเองในแต่ละเดือนอย่างไร

อย่าลืมในเรื่องการแบ่งสัดส่วนของรายได้อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
แล้วจะมาต่อในบทความครั้งถัดไป จะเล่าแนวคิดการแบ่งสัดส่วนรายได้ อย่างไร
ในแบบฉบับของเราเอง อาจจะมีประโยชน์กับคนที่อ่านได้บ้างนะ

@...Miiez...@

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

นิทานสิงโต


สิงโตตัวหนึ่ง
เห็นหมาบ้าเดินใกล้เข้ามา
มันจึงรีบเดินเลี่ยงไปทางอื่น




ลูกสิงโตพูดกับพ่อว่า
"เจอเสือพ่อยังกล้าสู้กับมัน
แต่เจอหมาบ้าตัวเดียว
พ่อกลับเดินหลบ
ช่างขายหน้าจริงๆ"

"ลูกพ่อ การเอาชนะหมาตัวหนึ่งนั้น
เป็นเรื่องมีเกียรตินักหรือ"

ลูกสิงโตส่ายหัว
"หากโดนหมาบ้ากัดมิยิ่งซวยกว่าหรือ"
ลูกสิงโตพยักหน้า
"มิใช่ว่าใครล้วนคู่ควรที่เราจะต่อกรด้วย"


*********************************************************


ผู้คนในสังคมทุกวันนี้ล้วนตกอยู่ใน
สภาวะที่เครียด กลัดกลุ้ม
ไม่ว่าจะเรื่องปากท้อง ครอบครัว
ต่างมีความโลภโกรธหลง
เปรียบเหมือนมีขยะอยู่เต็มหัวใจ
ไม่ว่าพบใครที่ไหนมักจะหาโอกาส
ที่จะเทขยะเหล่านี้ออกไป

ฉะนั้นอย่าได้ไปใส่ใจเลย
จงยิ้มให้แล้วเดินจากไป
อย่าไปรับเอาขยะเหล่านั้น
มาแล้วเทต่อให้ผู้อื่น มันคู่ควรหรือ
ผู้มีปัญญาจะไม่ไปทะเลาะเพื่อเอาชนะคนถ่อยแน่นอน


**************************************

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

ลงมือทำสำคัญที่สุด


การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี 
แต่ก็มีขอบเขตของการเรียนรู้



บางคนเข้าเรียนสัมนาเยอะมาก แทบทุกที่ที่มี
บางคนฟังแล้วฟังอีกกับคนสอนคนเดิมทุกรอบ

ลองถามตัวเองก่อนเข้าสัมนาหน่อยไหม
ว่าคุณเข้าสัมนาแต่ละครั้ง มีจุดมุ่งหมายอย่างไร
แล้วหลังกลับจากสัมนาแต่ละครั้ง
ชีวิตของคุณมีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นบ้าง

พัฒนาจุดไหนเพิ่มขึ้นบ้าง หรือแค่รู้มากขึ้น มากแค่ไหน
ลองถามตัวเองแล้วกลับมาประเมินตัวเองดู

เพราะการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือการเรียนรู้ด้วยตัวคุณเอง
เรียนรู้จากคนอื่น แค่ใบเบิกทาง แนวคิด ที่เห็นว่าคนสอนทำอย่างไร
แต่สุดท้ายแล้ว คนที่สำคัญที่สุดคือตัวเรา ลงมือทำ
เอาความรู้ที่ได้มาพัฒนาตัวเอง ทำและวิเคราะห์
สงสัยก็ถามจากผู้สอน  แต่ถ้าเริ่มมีความรู้อย่างอื่น ที่ต้องศึกษาเพิ่ม เพิ่มทักษะ
ก็ค่อยลงเรียนในสิ่งที่ต้องฝึกฝนเพิ่ม แต่เรียนแล้วกลับมาก็ต้องลงมือทำ
เรียนรู้ในเส้นทางของคนอื่น แต่ต้องสร้างทางเดินของตัวเองในแบบที่เป็นเรา

ต่อให้เรียนรู้ให้มาก แต่ไม่ลงมือทำก็เท่ากับไม่รู้ เดี๋ยวก็คืนคนสอนกลับไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้ คือลงมือทำ
แล้วค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ จากการลงมือทำของเราไปเรื่อยๆ
เพราะทางเดินแต่ละคน มีปัจจัย หลายอย่างที่แตกต่างกัน
ต่อให้คุณเข้าสัมนาให้มาก คุณก็แค่เรียนรู้หนทางสำเร็จจากคนอื่น ไม่ใช่สร้างทางเดินของตัวเอง
เอาสิ่งที่คุณได้รับ แนวคิดจากคนสอน มาเป็นหนึ่งในแนวทางเดิน
และสร้างทางเดินในตัวคุณเอง ฉบับของคุณเอง แค่นั้นเองแหละ

ทางเดินของแต่ละคน ไม่ได้เหมือนกัน
เส้นทางเดินที่แตกต่าง  วิถีแตกต่าง ความฝัน เป้าหมาย ก็ไม่เหมือนกัน
รู้ทางเดิน รู้เป้าหมายของตัวเอง  แล้วสร้างทางเดินในแบบของเรา

รับฟังเส้นทางความสำเร็จคนอื่น ปรับใช้กับเส้นทางตัวเอง ลงมือทำสะ
อย่าหยุดเรียนรู้กับตัวเอง
อย่าหลงกับความสำเร็จของคนอื่น
จงมีสติที่จะคิดให้เป็น
รู้จักนิ่งเมื่ออยากรู้มากเกินตัว
รู้จักปล่อยเมื่อรู้มากเกินไป

สร้างทางเดินในแบบที่เป็นเรา มีความสุขในทางเดิน มีการพัฒนาในตัวเอง
ไม่หยุดเรียนรู้กับตัวเอง ก้าวต่อไปในเส้นทางที่ใช่
เดินต่อไป นักเดินทางช่างฝันทุกคน ^^ 

@...Miiez...@

ทางออก

ก้าวทุกก้าวที่เดิน มันอาจไม่สวยหรูอย่างที่คิด  
ทางขรุขระก็เปรียบดั่งอุปสรรคที่ต้องฟ่าฟัน จนบางครั้งเกิดความท้อขึ้นในใจ
คิดไว้สะว่าเรากำลังถูกลองใจ ถูกทดสอบกับความอดทน ถูกทดสอบกับการแก้ปัญหา



ความท้อเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่อย่าได้ถอย เหนื่อยก้อพักบ้าง ให้กำลังใจตัวเราเอง
แล้วเดินหน้าสู้ต่อไป  ทำทุกวันให้ดีที่สุด  เจอปัญหาก็แก้ไปในขณะนั้น

ปัญหาที่เกิดจะทำให้ตัวเราแกร่งขึ้น   อย่าได้วิ่งหนีอุปสรรคที่ขวางกั้น
จงลุกขึ้นแล้ววิ่งชนกับมัน คุณจะรู้ว่าทุกอย่างมีทางออกเสมอ

จึงมีคำพูดที่ว่า คนที่ไม่เคยเจอปัญหาแสดงว่าไม่เคยทำอะไรเลย
ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเจอปัญหา

จงยิ้มรับและสู้กับมัน  ยิ่งถ้าคุณผ่านปัญหานั้นไปได้
เมื่อคุณคิดและย้อนมองดูตัวเอง ณ ตอนนั้น

ปัญหาที่ร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม  คุณก็สามารถนำมาเล่าพูดได้เหมือนเรื่องตลก
ทั้งที่ตอนเผชิญกับสิ่งนั้น คุณแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ 

และหากคุณเจอปัญหาเดิมซ้ำ คุณก็สามารถแก้ไขได้ง่าย
เพราะคุณเคยเจอมาแล้ว  เหมือนกับการทำโจทย์ข้อเดิม
ที่ครั้งแรกคุณต้องนั่งมึนกับโจทย์ แต่พอคุณทำได้แล้ว
เมื่อเจอโจทย์รูปแบบเดิมซ้ำ ก็สามารถแก้โจทย์ได้โดยง่าย
เหมือนโจทย์ชีวิต ที่คุณจะต้องแก้ได้ด้วยตัวคุณเอง  

 ขอเพียงใจคุณพร้อมรับกับปัญหา แค่นั้นพอ
เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังเจอปัญหา หรือหาทางออกไม่เจอ

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา


วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
คุณเชื่อไหมว่า คนเราสามารถสร้างทุกๆวัน ให้เป็นเรื่องราวดีๆในชีวิตได้
คุณเชื่อไหมว่า คนเราสามารถสร้างทุกๆวัน ให้เป็นเรื่องราวแย่ๆได้
คุณเชื่อไหมว่า คนเราสามารถสร้างทุกๆวัน ให้เป็นเรื่องราวที่เฉยๆได้
คุณเชื่อไหมว่า คนเราสามารถสร้างทุกๆวัน ให้ไม่มีเรื่องราวอะไรได้



เพราะตัวคุณเองเลือกได้ว่าจะสรรค์สร้าง แต่ละวันให้เป็นอย่างไร
ลองตื่นเช้า แล้วคิดดูสิ ว่าวันนี้คุณจะสร้างอะไรให้กับตัวคุณเองบ้าง
เชื่อไหมว่า แค่คิดคุณก็สนุกและตื่นเต้น มีความสุขในสิ่งที่คุณจะทำแล้ว
แต่ถ้าคุณแค่คิดก็มีความทุกข์ ก็อย่าไปทุกข์สิ หาให้เจอว่าทุกข์ทำไม
แต่ถ้าคุณแค่คิดก็เบื่อแล้ว  คุณก็คงจะใช้ชีวิตคุณไปกับความน่าเบื่อหน่ายทั้งวัน
แค่สนุกกับสิ่งที่คิด แค่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ คุณยังทำไม่ได้เลย
แล้วคุณจะสร้างเรื่องราวในชีวิตคุณในแต่ละวันเป็นยังไงละ ก็อยู่กับที่คุณคิด
สนุกและตื่นเต้น กับชีวิตในวันนี้ มีความสุขในปัจจุบัน
มองและย้ำเตือนว่า วันนี้จะต้องสนุกกับงานที่ทำขนาดไหน
จะต้องพบเจอเรื่องราวอะไรในวันนี้บ้าง  หลังจากงาน จะให้รางวัลอะไรกับตัวเราบ้างในวันนี้

คนส่วนใหญ่มักจะลืมให้รางวัลกับตัวเอง มัวแต่ทำงานจนเพลิน
จนลืมที่จะให้กำลังใจตัวเองเล็กๆน้อยๆ ในแต่ละวัน  ของรางวัลไม่ใช่ตัวสิ่งของเพียงอย่างเดียวนะ
แต่มันคือสิ่งที่คุณชอบทำ คุณค่าทางจิตใจของตัวคุณเอง
แค่แบ่งเวลาให้ทุกวันได้มีความสุขในสิ่งที่เป็นคุณ
สักช่วงเวลาหนึ่ง คุณจะได้รู้ว่า ชีวิตคุณไม่ได้มีแค่งาน แต่ที่คุณทำงานในแต่ละวัน
เพื่อจะได้มีเวลาให้กับช่วงพรีไทม์ในชีวิตคุณมากขึ้นนั่นเอง
อย่ามัวแต่ให้เวลากับสิ่งอื่น  จนลืมให้เวลากับความสุขของตัวคุณเองบ้างละ นั่นละชีวิต

จงทำวันธรรมดาให้เป็นวันไม่ธรรมดา
สร้างเรื่องราวน่าจดจำ และไลฟ์สไตส์ในแบบที่คุณเป็นเองได้ในทุกๆวัน
ชีวิตคุณก็จะมีแต่เรื่องราวดีๆที่น่าจดจำและมีคุณค่าในแบบที่คุณสร้างเองนั่นแล
มีความสุขในแบบที่เป็น    มองให้เห็นในทุกๆเรื่องราว
สุขทุกข์แค่เพียงชั่วคราว   ชีวีมิยืนยาวจักเลือกเอย

@...Miiez...@

ทางเดินชีวิต


ทางเดินชีวิตแต่ละคน มักมีทางให้เลือกเดินเสมอ มีโอกาสให้เข้ามาตลอด
แต่ไม่ใช่ว่า จะต้องคว้าทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต



สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ต่างจากการมองหาโอกาส คือการเลือกโอกาสให้เหมาะกับตัวคุณ
จะเลือกโอกาสให้เหมาะกับตัวคุณได้ตรงจริตกับตัวเองมากแค่ไหน
นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จักตัวคุณเองแค่ไหน รู้ข้อดีและข้อเสียของตัวเองขนาดไหน

ถ้าคุณยังไม่สามารถอ่านตัวคุณเองได้ออก เข้าใจตัวคุณเองได้
ยากนักที่คุณจะมองอะไรหลายๆเหตุการณ์ในชีวิตได้ขาด
เพราะคุณไม่สามารถประเมินตัวคุณได้ ว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่คุณชอบ และทำสิ่งเหล่านั้นได้ดี
มีความสุขเวลาอยู่กับสิ่งนั่น นั่นละคือสิ่งพิเศษที่เรามี ที่จะสร้างโอกาสในชีวิตให้ตัวเราเองได้

คุณก็จะใช้ชีวิตที่ลอยไปตามลม มองหาโอกาสที่ใช่ข้างหน้าไปเรื่อยๆ 
คิดว่าทางนั่นคือโอกาส ทางนี้คือโอกาส พอมีอะไรสะกิดโอกาสมาอีกแล้ว ก็ลอยไปตามโอกาส
ล่องลอยไปตามโอกาสเรื่อยๆ จนสุดท้ายกว่าจะหาจุดตัวคุณเองเจอได้

เวลาอาจจะไม่รอแล้ว  สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งไม่ต่างจากโอกาสคือการเลือกโอกาสที่เหมาะกับตัวเอง
มองให้ออก ดูให้เป็น เข้าใจตัวเอง นั่นละสำคัญสุด


วิธีการเลือกเส้นทางเดินแต่ละเส้น ก่อนจะออกเดินทาง
สิ่งที่คุณจะต้องรู้ นั่นคือ สิ่งที่เลวร้ายที่สุด หากเราเลือกเส้นทางเดินนี้

หลายคนอาจจะมองว่านั่นคุณกำลังมองลบหรือเปล่า
ถูกเลย เพราะการมองลบให้เป็นนั่นละคือการประเมินความเสี่ยงในจุดที่ตัวเรารับได้แค่ไหน
ถ้ารับความเสี่ยงในทางเดินนั่นไม่ได้ ก็ไม่ควรเดินแต่ต้น ไม่งั้นอาจถึงขั้นสิ้นชีพได้
แต่ถ้ารับได้ก็ต้องมองต่อว่า ปัญหาที่จะต้องเจอในทางเดินนั่นมีอะไรบ้าง
เพื่อเตรียมการรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในเส้นทางนี้

มันคือการมองเกมส์ มองแผนการ ก่อนการออกเดินทางสู่สนามจริง
ยิ่งถ้าเรามองแผนทางเดินขาดมากเท่าไหร่  คุณก็จะมีโอกาสเดินทางสู่เส้นชัยได้ไว
เพราะเมื่อเจอปัญหา ก็ได้เตรียมใจรับแล้ว จะได้ไม่อาฟเตอร์ช็อค แบบรับไม่ได้
ทำไมคุณถึงโชคร้ายแบบนี้ ทำไมคุณถึงต้องเจออะไรแบบนี้ ความคิดแย่ๆจะเข้ามาในหัวเต็มไปหมด
นั่นไงละ เพราะใจคุณไม่เตรียมรับปัญหาที่จะเกิดตั้งแต่ต้นยังไงละ
ต่อให้คุณเป็นคนคิดบวกมากแค่ไหน แต่ถ้าต้องเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แบบไม่เตรียมใจรับ
กว่าจะฟื้นพลังใจ คุณกลับมาได้ จะต้องใช้เวลานานกว่าคนที่เตรียมใจรับแน่นอน

วางชีวิตให้มีแบบแผน ต่อให้หลุดแผนไปบ้าง ก็ใช้พลังใจนำทาง
มีสติในการนิ่งให้เป็น มีปัญญาในการแก้ปัญหาให้ตรงจุด  มีธรรมะในการปล่อยวางกับทุกเรื่อง
แล้วชีวิตคุณจะเดินทางได้แบบที่คุณเข้าใจชีวิตและธรรมชาติของโลกใบนี้ได้แบบผาสุก

@...Miiez...@

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

การเดินทางค้นพบสิ่งใหม่ๆ


ทุกการเดินทางทำให้คุณได้พบเจอประสบการณ์ต่างๆมากมาย
และครั้งนี้ก็เช่นกัน รอบนี้เดินทางไปกวางโจว ได้เจอเรื่องราวและการเรียนรู้ใหม่ๆเพี้ยบเลย
ทั้งที่ก็เดินทางไปกวางโจวหลายครั้งมาก เพิ่งไปล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนเอง
แต่ไปรอบนี้ รู้สึกทั้งได้งาน และได้ไอเดียเพิ่มมากมาย

รอบนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ Uber ที่เมืองจีน
ราคาก็พอๆกับแท็กซี่บ้านเค้าเลย น้องไกด์เล่าให้ฟังว่า
ตอนแรกที่มี Uber นั้นราคาถูกกว่าแท็กซี่เยอะมากแต่ตอนนี้ราคาขึ้นมาละ
ก็คงคล้ายๆกับบ้านเราละ



เมืองจีน ณ ตอนนี้ เค้าใช้ระบบจ่ายเงิน AliPay แทบเข้ามาแทรกซึม
รูปแบบการจ่ายเงินของจีนได้เยอะมาก ทั้งร้านค้าส่งจนรวมไปถึงร้านค้าทั่วไป
แม้กระทั่ง รถตู้ รถโดยสาร แท็กซี่ ก็มีรับ คือบ้านเค้าแทบไม่ใช้เงินสดเลย
เนื่องจากว่า บ้านเค้าเงินปลอมเยอะมาก
เวลาขึ้นแท็กซี่ แนะนำว่า ให้จ่ายเงินแต่พอดี ไม่ควรให้แบงค์ใหญ่
เพราะอาจจะโดนสลับแบงค์ปลอมให้เราแบบไม่รู้ตัวได้ 

ครั้งนี้ได้ไปเจอคู่ค้าคนใหม่ เหมือนเราคิดว่าเราจะได้เจอแต่สิ่งดีๆในชีวิต
เราก็ได้เจอจริงๆนะ  ได้เจอไกด์ที่ทำงานเข้าขากันมากที่สุด เท่าที่ไปเมืองจีนมา
ได้เจอคู่ค้าที่รู้สึกโอเคกับเรา ได้ไปเยี่ยมชมโรงงานที่เราอยากบุก
เนื่องจากโรงงานลืมวัตถุดิบที่เราจะเลือกบางชิ้น เลยต้องไปโรงงานช่วงเย็นเพื่อเลือกวัตถุดิบต่อ
กว่าจะเลิกงานได้เกือบสองทุ่มแนะ แล้วเค้าจะพาไปกินข้าวต่อ
แต่ไม่ไหวละ เพราะวันรุ่งยังต้องมีดิวกับเจ้าอื่นอีก เลยขอให้เค้าพาไปส่งโรงแรม
กลับโรงแรมคืนนั้นแทบสลบ จำได้ว่าเปิดโน็ตบุ๊คเพื่อวางแผนสั่งงานวันพรุ่งนี้
แต่เผลองีบสักพัก ตื่นอีกทีเช้าเลย มาวางแผนงานต่อ เหนื่อยและสนุกมาก
ได้เจอไอเดียและแนวทางในการทำธุรกิจที่ชัดขึ้นมาก
เป็นการทำงานที่สนุกและเต็มแมกซ์มากจริงๆ

แม้ว่ารอบนี้ไปจะโดนรองเท้ากัดเท้าตั้งแต่วันแรกที่ไปเลย
แต่โชคดีที่เตรียมรองเท้าแตะไป เลยใส่รองเท้าแตะ เดินลุยตลาดทุกวัน
วันบินกลับค่อยใส่ผ้าใบ แต่การเดินของเรา คนอื่นคงมองออกว่าโดนรองเท้ากัด
ก็มีผู้ชายใจดีคนหนึ่ง เดินมาถามว่า หนูเดินจนรองเท้ากัดเลยหรอ  เราก็ยิ้มและพยักหน้ารับ
เค้าเลยบอกพี่มีพลาสเตอร์ยา แล้วกุลีกุจอ ค้นหาในกระเป๋าให้เรา
ตอนแรกความรู้สึกในใจ นึกขอบคุณมาก แต่เราก็อยากบอกว่าเราแพ้พลาสเตอร์ยา ฮ่าๆ
พอเค้าค้นหาเจอแล้วหยิบยื่นมาให้ ก็ยิ้มรับแล้วขอบคุณเค้ามาก
แล้วก็ต้องมาติดที่แผล เพื่อรักษาน้ำใจ แต่เราก็โคตรรู้สึกดีเลย
ใครก็ไม่รู้ ยังใส่ใจคนรอบข้าง แล้วพร้อมช่วยเหลือ เพียงหวังแค่ว่า เค้าจะช่วยได้
แล้วยังได้เจอตอนโหลดกระเป๋า เค้าก็ยังถามว่า เป็นไง พอช่วยได้ไหม
เค้าบอกว่า เค้ารู้ว่าถ้ารองเท้ากัดแล้วเดินนี่โคตรทรมานเลย
คือเป็นการใส่ใจรอบที่สอง ขอบคุณมากนะคร้า ขอบคุณจริงๆ
ที่นี้รอบถัดไป เราก็คงซื้อพลาสเตอร์ยาติดกระเป๋าเลยละ



เป็นประสบการณ์ที่เรารู้สึกโคตรชอบเลยสำหรับทริปนี้
ได้เจอสิ่งใหม่ๆ ได้พบมิตรภาพใหม่ๆ  สนุกมาก ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จะเหนื่อยมากก็ตาม
แล้วฉันจะค้นพบไอเดียใหม่ๆ ในแบบที่ฉันวางไว้
ฉันเริ่มหลงรักการเดินทางอีกครั้งแล้วสินะ
เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ ^^

@...Miiez...@