วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เรียกสติ โฟกัสปัจจุบัน


เคยไหมที่เราจมอยู่กับความคิดตัวเราเอง
จนเราต้องถามตัวเราเอง ว่าเรากำลังคิดอะไร



เป็นธรรมดาของคนเรา ที่บางครั้งเราก็หลงไปกับความวุ่นวายของโลก
จนบางครั้งสิ่งที่เรียกเรากลับมาคือสติ
แต่กับบางคน เรียกสติตัวเองกลับมาได้ยาก เพราะ สมาธิมันหาย
ความคิดก็วุ่นวายฟุ้งซ่านอยู่ในหัวมากมาย
เรื่องนู่นนั่นนี่ เต็มหัวไปหมด

ลองทำแบบนี้ดูสิ ลองดึงสติตัวเองกลับมาด้วยวิธีง่ายๆ
ตื่นเช้าขึ้นมา หลังทำกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว
ให้มองหน้าตัวเองในกระจก แล้วคุยกับตัวเองสิ
ณ ตอนนี้ คุณกำลังทำอะไรอยู่
ณ ตอนนี้ คุณต้องทำอะไรบ้าง
ณ ตอนนี้ คุณกำลังจะทำอะไร
ณ ตอนนี้ คุณจะเดินบนเส้นทางไหน
ณ ตอนนี้ เป้าหมายของคุณคืออะไร
หลังจากตอบตัวคุณเองได้แล้ว

ก็ให้คุณเขียนสิ่งที่คุณต้องทำวันนี้ ที่เป็นสิ่งหลักๆลงไปที่ไหนก็ได้ ตามสะดวก
แล้วเวลาที่คุณเผลอลืมในแต่ละวัน เริ่มรู้สึกลืมตัว
เริ่มรู้สึกสติหลุด โฟกัสหลุด ก็หยิบที่คุณเขียนมาดู เพื่อให้เห็นในสิ่งที่คุณต้องทำ
แต่ท้ายสุด ก็อย่าลืม แบ่งเวลาให้ชีวิต อยู่กับใจนิ่งๆ สงบ เงียบๆ
เพื่อฟังเสียงความต้องการในหัวของคุณ แต่ถ้าฟุ้งมากไป ก็ต้องดึงจิตให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้
ดึงไม่ได้ ก็ใช้วิธีเขียน และค่อยๆโฟกัสทีละอย่าง

แล้วอย่าลืม ก่อนนอนที่เราต้องกลับมาเช็คลิสต์ตัวคุณเอง
ว่าสิ่งที่คุณเขียนตอนเช้า คุณทำสำเร็จได้หมดทุกข้อไหม
เพราะถ้าเรื่องเล็กๆ คุณยังไม่สามารถทำได้
เป้าหมายที่คุณวางไว้ เมื่อไหร่ละ คุณถึงจะเดินไปถึง
เดินแบบมีเป้าหมาย และมีความสุขในระหว่างทาง ในแบบที่คุณเป็น
เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ ^^

@...Miiez...@

คำสอนจากพระธรรมเทศนา


บันทึกการเดินทางสายบุญ

แค่คิดจะทำสิ่งดีๆ เราก็มีความสุขได้ตั้งแต่ความคิดแล้วละ
เราเริ่มจาก แค่คิดกับพี่สาว อยากทำบุญ ถวายสังฆฑาน 50 ชุด
แค่คิดก็มีความสุขแล้ว จากนั้นก็ลงมือ
เริ่มจากเลือกซื้อของจากแมคโคร หลายอย่าง
ได้ของมาครบก็เอากลับมาจัดเรียงเป็นชุดๆที่บ้าน
จัดเสร็จเรียบร้อย ก็มีวันว่าง เวลาเหมาะๆ
ก็เริ่มตระเวนขับไป เริ่มจากวัดท้ายเกาะ
ชื่นชอบความเป็นธรรมชาติของวัดนี้มากเลย ดูร่มรื่น และเย็นใจทุกครั้งที่มา



เมื่อวานไปถึงประมาณเกือบบ่ายสามเห็นจะได้
หลวงพ่อ ท่านก็พูดคุยเชิงถาม ว่าโยมมาทำในโอกาสวันเกิดหรือ
ตัวเราเลยตอบว่า ไม่ใช่เจ้าคะ มาทำแบบไม่มีโอกาสแค่อยากทำเฉยๆ
ท่านก็ให้เราสวดมนต์ จนถึง อาราธนาศีล5
แล้วท่านก็กล่าวเทศนาเรื่อง ศีล 5 ให้เราได้ฟัง

สรุปเป็นใจความสั้นๆว่า  ให้เรารักษาศีล 5 อย่าได้ขาด
ไม่ต้องใช้เงินซื้อหา และได้อานิสงส์มากกว่านะ  ศีลแปลว่า ปกติ
ให้เราหมั่นพิจารณาดูจิตเรา ระวังจิต กาย ไม่ให้ประพฤติผิดศีล
โลกที่วุ่นวาย เพราะคนไม่มีศีล ไม่รู้จักการควบคุมอารมณ์ ควบคุมจิต
สิ่งที่ดีอยู่แล้วก็ทำไป  สิ่งที่ยังทำไม่ได้ก็พยายาม
เป็นข้อธรรมที่ตัวเราได้ย้ำอีกรอบ แล้วปิติในใจ ที่ท่านได้เทศนา
มันมีความสุขแบบพูดไม่ถูก แต่รู้แค่สุขใจที่ได้ฟังธรรมในครั้งนี้

หลังจากถวายคำถวายสังฆฑานแล้ว
ก่อนท่านจะให้พร กรวดน้ำ ยังสอนให้เรา พิจารณาอย่างไรตอนกรวดน้ำ
ให้เราอุทิศให้บิดา มารดา บรรพบุรุษ เป็นอันดับแรก ไม่ว่าอยู่ภพภูมิใด
บางท่านอาจจะล่วงลับไป เราแผ่ให้เค้าก็ได้รับในส่วนบุญนะ
เพราะบางดวงวิญญาณ อาจจะอยู่ในทุกติยะภูมิ อาจจะไม่สามารถทำบุญได้

หลังจากฟังธรรมเทศนาและคำสอนจากหลวงพ่อแล้วกราบลา
แม้เมื่อวานจะได้ทำแค่วัดเดียว แต่กลับรู้สึกอิ่มเอิ่มใจ อย่างบอกไม่ถูกเลย
รู้สึกอยากทำต่ออีกหลายวัด อยากไปฟังเทศนาธรรม ติดในรสธรรมเทศนาสะแล้วเรา

ถ้าไม่ติดว่าต้องเดินทาง ไปดีลงาน ก็คงตระเวนต่อเนื่องละ ช่วงนี้
 เดินต่อไปนะ นักเดินทางตัวน้อยๆ
สานฝันในงานที่รัก  สานฝันในสิ่งที่ทำ สานฝันในบุญที่อยากจะสร้าง
สร้างสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ในทางเดินที่เรามีความสุขสบายใจ
ตลอดเส้นทางเดิน สุขทุกข์อยู่ที่ใจ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล
เมื่อทุกข์เกิด ก็มีสติรู้ทันและดับลงที่ใจ แค่นี้เอง ชีวิต

@...Miiez...@

ความโชคดีสร้างได้ด้วยตัวเรา


คุณเชื่อไหมว่า เราสามารถสร้างโชคดีได้ด้วยตัวเราเอง
มีด้วยหรือ การทำงานที่ไม่เจอปัญหา
มีด้วยหรือ การอยู่กับสังคมโดยไม่เจอคำนินทา
มีด้วยหรือ การเดินทางที่ไม่พบการหลงทาง
มีด้วยหรือ มีความสุขที่ไม่เจอคำว่าทุกข์
มีด้วยหรือ การพบที่ไม่เจอการจากลา
มีด้วยหรือ การลงมือทำโดยไม่เจอกับคำว่าอุปสรรค



นั่นละ น้อยครั้งที่คุณจะคิดเรื่องปัญหา อุปสรรค เรื่องราวต่างๆที่พบเจอ
เป็นสิ่งที่ดีในชีวิต  ส่วนใหญ่มักจะน้อยใจในตัวคุณเอง มองว่าเป็นสิ่งไม่ดี
นั่นละโชคร้ายจะมาเยือนในชีวิตคุณของจริงละ
ลองมองสิ่งต่างๆเป็นเรื่องโชคดีในชีวิตคุณสิที่คุณได้พบเจอ

คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณเจอปัญหาในงานคุณครั้งนี้ นั่นละบันไดที่ก้าวข้ามอีกขั้นของชีวิตคุณมาถึงแล้ว
คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณเจอเพื่อนๆที่นินทาคุณ นั่นละคุณต้องสร้างสิ่งดีๆให้เค้านินทาต่อไป
คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณหลงทาง นั่นละโอกาสในการผจญภัยดินแดนแห่งใหม่กำลังจะกำเนิดขึ้น
คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณโดนโกง นั่นละโอกาสทำบุญมาถึงแล้ว
คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณหกล้ม คุณจะได้เรียนรู้ว่าเวลาลุกขึ้นจากการล้มเป็นอย่างไร
คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณถูกตำหนิ นั่นละมีคนมาบอกสิ่งที่คุณทำผิดพลาดแล้ว คุณจะได้ปรับปรุงตัว
คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณงานล้นมือ นั่นละโอกาสในการวางระบบงานมาละ เพื่อพัฒนารองรับได้ดีกว่าเดิม
คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณมีต้นทุนต่ำกว่าคนอื่น คุณเลยได้เรียนรู้พยายามมากกว่าคนอื่น
คุณโชคดีแค่ไหน ที่คุณได้รับมอบหมายให้ทำงานมากกว่าคนอื่น นั่นละโอกาสที่คุณจะได้ใช้สกิลในการฝึกความสามารถของคุณแล้ว

มองทุกเรื่องเป็นเรื่องโชคดีในชีวิตคุณ
แล้วในชีวิตคุณจะมีแต่เรื่องราวดีๆ  ความโชคดีสร้างได้ที่ความคิดของคุณเอง
อย่ามองปัญหา อุปสรรคเป็นสิ่งไม่ดี ให้มองด้วยความโชคดี
แล้วคุณจะรู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างโชคดีในชีวิตคุณอย่างไร
ชีวิตที่โชคดี สร้างได้ด้วยมือคุณเอง อยู่ที่คิด อยู่ที่ลงมือทำ อยู่ที่ก้าวเดิน
เดินต่อไปน้า นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ปัญหาของคนกับการฟัง


       ปัญหาที่เกิดกับคนจำนวนไม่น้อยทุกวันนี้ก็คือ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนฟังตน การฟังที่ว่าหมายถึงการฟังจริงๆ โดยไม่ต้องชี้แนะ ไม่ต้องสอน การฟังด้วยความใส่ใจนั้นสามารถเยียวยาผู้อื่นได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้คนฟังโดยไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร ถึงแม้เราจะได้ยินเสียงที่เขาพูด แต่จริงๆ แล้วเราอาจไม่ได้เข้าใจอะไรเลย มีคำพูดที่ว่า ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง ซึ่งเป็นปัญหามาก ความขัดแย้งเกิดขึ้นเป็นเพราะเราไม่ได้ฟังกันอย่างจริงจัง และเมื่อไม่ฟังก็ทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น

      นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ เคยเล่าว่า ระหว่างที่เป็นวิทยากรได้พบว่าหมอฟันกับผู้ช่วยคู่หนึ่งมีความขัดแย้งกัน จึงชวนมาพูดคุยปรับความเข้าใจกัน โดยมีกติกาว่าให้แต่ละคนผลัดกันพูดว่า ตนไม่พอใจอีกฝ่ายด้วยเรื่องอะไร แต่ละคนมีเวลาพูด ๕ นาที ขณะที่ฝ่ายหนึ่งพูด อีกฝ่ายหนึ่งฟังอย่างเดียว ห้ามซัก เมื่อผู้พูด พูดจนครบ ๕ นาทีแล้ว ให้ฝ่ายที่เป็นผู้ฟังสรุปสิ่งที่ได้ยิน หากเจ้าของเรื่องฟังแล้วเห็นว่าการสรุปนั้นตรงกับสิ่งที่ตนพูดก็พยักหน้า แล้วสลับบทบาท ให้อีกฝ่ายพูด ตนเป็นฝ่ายฟัง

      เบื้องต้น ผู้ช่วยทันตแพทย์เป็นผู้พูดก่อน เขาเล่าว่าเขาไม่พอใจทันตแพทย์อย่างไรบ้าง เมื่อฟังจบทันตแพทย์ก็สรุปว่าตนได้ยินผู้ช่วยฯ พูดว่าอะไร ไม่พอใจเธอเรื่องอะไร เธอสรุปได้ถูกต้อง ผู้ช่วยจึงพยักหน้า จากนั้นทันตแพทย์ก็เป็นฝ่ายพูดบ้าง ส่วนผู้ช่วยฯเป็นฝ่ายรับฟัง ทันตแพทย์เล่าว่าตนไม่พอใจผู้ช่วยอย่างไร เมื่อครบ 5 นาที ผู้ช่วยฯ ก็สรุปว่าตนได้ยินทันตแพทย์พูดว่าอะไร ปรากฏว่าสรุปไม่ตรง ทันตแพทย์ส่ายหน้า เธอจึงเล่าซ้ำ ครั้งที่สองผู้ช่วยฯ ก็ยังสรุปไม่ถูก ทันตแพทย์จึงต้องพูดอีกครั้ง คราวนี้ผู้ช่วยฯ ตั้งใจฟังมากขึ้น เมื่อทันตแพทย์พูดจบ เขาก็สรุปเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เขาสรุปได้ถูกต้อง จากนั้นก็เป็นกระบวนการของการแบ่งปันความรู้สึก

         ทันตแพทย์บอกว่า หลังจากที่เธอฟังผู้ช่วยฯ เล่า เธอเข้าใจเขามากขึ้น และยอมรับว่า หากตนเป็นผู้ช่วย ฯ ก็คงไม่พอใจทันตแพทย์เช่นเดียวกัน จากนั้นผู้ช่วยฯ ก็เป็นฝ่ายแบ่งปันความรู้สึกบ้าง หมอวิธานถามผู้ช่วยฯ ว่า ทำไมสองครั้งแรกจึงจับใจความไม่ได้ว่าทันตแพทย์พูดอะไร ผู้ช่วยฯ บอกว่าเมื่อได้ยินทันตแพทย์พูด ใจเขามีแต่ความคิดที่จะเถียงจะแย้ง จึงฟังไม่เต็มที่ สุดท้ายจึงสรุปใจความไม่ได้ว่าทันตแพทย์พูดอะไร นี่เรียกว่า ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง เพราะใจไม่ว่าง ใจคอยแต่จะเถียง แต่พอครั้งที่สามไม่เถียงแล้ว ตั้งใจฟังอย่างเดียว ความเข้าใจจึงเริ่มเกิดขึ้น

        ดังนั้น อุปสรรคสำคัญที่สุดในการฟังคือใจ ใจไม่ว่างพอที่จะรับฟังอย่างจริงจัง
การฟังที่ดีนั้นหมายความว่าเราต้องวางเรื่องที่จะโต้แย้งไว้ก่อน การฟังไม่สมบูรณ์ก็เพราะจิตไม่ว่าง และนี่คือคำตอบว่า ทำไมความขัดแย้งบ่อยครั้งจึงกลายเป็น “พูดไม่รู้เรื่อง” เพราะต่างฝ่ายต่างจับไม่ได้ว่าปัญหาของอีกฝ่ายคืออะไร เขาไม่พอใจเรื่องอะไร เพราะเหตุใด โดยเฉพาะหากความขัดแย้งนั้นยืดเยื้อยาวนาน ผู้คนก็จะยิ่งไม่ฟังกัน ความจริงแล้ว กติกาง่ายๆ ก็คือ ฝ่ายหนึ่งพูดแล้วให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง ยังไม่ต้องยกมือขอพูด นี่เป็นกระบวนการพื้นฐานของการไกล่เกลี่ยและระงับความขัดแย้ง คือ ฟังว่าอีกฝ่ายกำลังทุกข์เรื่องอะไร ต้องการอะไร

ข้อธรรม คำสอน พระไพศาล วิสาโล

ปลูกอะไร…ก็จะได้อย่างนั้น

ปลูกอะไร…ก็จะได้อย่างนั้น
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ
แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า

“ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ”
 “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ”
พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด
 เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ

นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้น
ที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”
นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น
 เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด  และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น
 เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้

พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดีผ่านไปสามสัปดาห์
พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่มเจริญเติบโต
แต่จิมก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา ..
3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5 สัปดาห์ ผ่านไป 
ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง ตอนนี้หนุ่มๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว

แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน
ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว
ทุกๆคนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี
แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป

ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEOได้ตัดสิน…
 จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่”
ภรรยาบอกเขาว่าให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง
 จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต
แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก
ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้

เมื่อจิมมาถึง เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน
 เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม
ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ
เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง
“โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน
เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็นCEO กันวันนี้แหละ”
พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง
เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า
จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก

เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก
เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า
“เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง
ยกเว้นจิมท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”
จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร
และแล้วท่านประธานก็พูดว่า“เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน
ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว
ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร

พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม
นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก
พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ
จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม”

“ ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”
คติธรรม ที่ได้ …
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น … ตรองดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้
Cr.LeeMinHo Chattong

วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560

The Life is your choice เป้าหมายกับความสุข

ไม่สำคัญหรอกว่า เป้าหมายของแต่ละคนคืออะไร
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ระหว่างทางเดินของคุณต่างหาก
คุณมีความสุขกับสิ่งที่คุณทำอยู่หรือไม่
เพราะนั่นละคือสิ่งที่ตอบตัวเองได้ดีว่า
คุณมาถูกทางหรือผิดทางกันแน่





ถ้าชีวิตคุณเดินมาโดยไม่มีความสุขตลอดทางเดิน
ถ้าชีวิตคุณเดินมาแบบใช้ชีวิตไปวันๆ
ถ้าชีวิตคุณเดินมาแบบไม่มีเวลาให้ใครเลย
ถ้าชีวิตคุณเดินมาแบบไม่มีอะไรพัฒนาเลย


นั่นใช่ทางที่ใช่ ที่ควรเดินต่อหรือไม่ 

หาคำว่าความสุขเป็นตัวตั้ง แล้วได้ตังส์ 
เดินทางแล้วชีวิตดีขึ้นมีพัฒนาการ
เรียนรู้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวคุณเอง
ทุกคนมีความพิเศษอยู่ในตัวเอง
หาให้เจอ ใช้ให้เป็น มีความสุขกับมัน
นั่นจะเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าและเงินตราในฉบับคุณเอง

อย่าให้การออกแบบชีวิต มีแต่คำว่าเป้าหมาย
จนลืมไปว่า การใช้ชีวิตในขณะปัจจุบัน
นั่นก็คือหนึ่งสิ่งที่สำคัญ ไม่ต่างกันเลย
คนเรามักจะไม่หยุดนิ่งที่ได้ชิมลางความสุขนานๆ
เพราะชีวิตมักจะเร่งรีบ และคิดกังวลเรื่องมากมาย

สำหรับคนที่รู้สึกว่าความสุขในชีวิตเริ่มหาย
ลองหันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วมองความสุขรอบตัว
แล้วจะรู้ว่า ความสุขของเราคืออะไร
อยู่นิ่งๆกับใจตัวคุณเองบ้าง
ชิมลางความสุขสงบในใจคุณ
แล้วสักพักคุณจะรู้ว่าจะออกเดินทางอย่างไร

ปลายทางที่ใครหลายคนมองว่าสำคัญ
แต่ระหว่างทางเดินก็โคตรสำคัญไม่แพ้กันเลย
เพราะปลายทางคือปัจจุบันที่คุณก้าวเดินในวันนี้
แบบแผนในชีวิตที่ดี ไม่ใช่แค่ลงมือทำเพียงสิ่งเดียว
แต่คือการแบ่งเวลาบาล้านในชีวิตได้ลงตัวในทุกด้านต่างหากที่โคตรสำคัญ
มองให้เป็น แล้วจะเห็นคุณค่าในชีวิตมากขึ้น

เป้าหมายความสำเร็จที่มาพร้อม
ความสุขระหว่างทางเดินของคุณ
ชีวิตคุณจะโคตรมีคุณค่าในทุกช่วงเวลาของชีวิต
จะเดินอย่างไร ก็อย่าลืมให้เวลากับชีวิตได้พักบ้าง
ให้เวลากับคนรอบข้าง ครอบครัว คนสำคัญของคุณ

เพราะบางครั้งเราตอบไม่ได้เลยว่า
เวลาที่เหลือของแต่ละคนจะอีกนานแค่ไหน
อย่ามัวแต่มองทางเดินข้างหน้า
จนลืมทางเดินปัจจุบันของตัวคุณเอง
เวลาไม่สามารถเดินย้อนกลับมาได้

อย่าลืมสร้างไทม์ไลน์ในชีวิตคุณเองให้มีคุณค่าในทุกๆวัน
ชีวิตออกแบบเองได้ด้วยตัวคุณเองที่จะลงมือแต้มไป

💢ใช้ชีวิตให้เป็น ออกแบบชีวิตให้ดี💢
💢ชีวีจักเป็นสุขี เหมือนนทีรินรดใจ💢
........The Life is your choice.........
@...Miiez...@