วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

อารมณ์สีเทา


อารมณ์สีเทา เชื่อว่าทุกคนคงเคยมีและเคยเป็น
แต่ถ้าเราอยู่ในช่วงอารมณ์สีเทานานเกินไป
โลกทั้งใบอาจจะดูไม่น่าสุนทรีย์กับตัวเรา



แต่พอเรามองออกไปรอบๆกาย
เราเห็นสีสันมากมาย รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
นกกา จับเจ่า ร้องเพลงให้ฟัง
สายลมที่พัดผ่านมาทักทาย
ท้องฟ้าที่ส่องแสงสว่างให้เราในทุกวันไม่เคยพร่ำบ่น
สายฝนที่ตกลงมาให้เย็นชุ่มช่ำกายและใจ
สายหมอกยามเช้าที่แวะมาทักทายในทุกวันอยู่ที่เราจะตื่นทันมาทักตอบหรือไม่

เห็นไหมค่ะ  สิ่งดีๆมากมายมีอยู่รอบตัวเรา
อยู่ที่เราจะมองเห็นสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

อย่าปล่อยให้อารมณ์เราเป็นดั่งพายุร้าย
เพราะหลังพายุสงบลงไป แม้มันจะกลับมาสวยงามอีกครั้ง
แต่เจ้าพายุร้ายมันก็ได้ทำลายสิ่งดีๆข้างกายไปด้วยเสมอ

จงหยุดพายุอารมณ์ด้วยสติ
และปลอบหัวใจของพายุร้ายด้วยความเมตตาและอภัย
เจ้าพายุมันก็จะยอมสงบลงแต่โดยดี
เพราะพายุร้ายมันมักแพ้พ่ายให้กับใจที่เมตตาและอภัยนั่นเอง

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@


วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561

สีที่แต่งแต้มใจเรา คือตัวเราที่เป็น


เชื่อไหมว่า คนเราเสพสิ่งไหนทุกวัน
เราจะถูกซึมซับสิ่งนั้นโดยไม่รู้ตัว



มิตรภาพที่อยู่ข้างกาย คนรอบข้าง หนังสือที่อ่าน
สื่อที่เลือกเสพ และบุคคลที่เรามองเป็นแบบอย่าง
มันมีผลกับการเป็นตัวเราในทุกวันนี้

บางครั้งโชคชะตาอาจจะเล่นตลกกับเราในชีวิต
ที่ทำให้เราต้องพบเจอเรื่องราวไม่ดี
เพื่อทดสอบจิตใจเราที่มีว่าเราเข้มแข็งแค่ไหน
แล้วเราจะผ่านสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร

ไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะไม่เคยพบเจอเรื่องราวที่ไม่พึงใจ
และไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะพบเจอเรื่องราวพึงใจตลอด

สมองของมนุษย์แบ่งแยกเป็น 2 ซีก คือสมองฝั่งขวาและฝั่งซ้าย
จิตใจของมนุษย์ก็มีทั้ง นางฟ้าและซาตาน
โลกของมนุษย์ที่มองออกไป จึงมีทั้งโลกสีขาวและโลกสีดำ

ในบางเวลาที่ทุกสิ่งดูไม่เป็นใจ
ลองมองหาโลกใบสีขาวเพื่อเป็นแสงสว่างนำทางในชีวิต
อย่ามั่วจมปักกับโลกสีดำที่ดูมืดมิดและไร้หนทาง

โลกสีขาวโลกสีดำ แค่ใจเราเลือกหยิบสิ่งไหนมาใส่ใจ
ภาพของโลกก็จะเปลี่ยนไปในชีวิตคุณได้เอง

อยากให้ชีวิตมีภาพสีขาวเยอะๆ เราก็แค่แต้มสีขาวลงไปในชีวิต
เพื่อให้สีขาวมันแทรกซึมไป โลกใครที่สีดำมืดมิด
ลองค่อยๆแต้มสีขาวลงไปทีละนิด แต้มไปเรื่อยๆ
โลกที่เต็มไปด้วยสีดำอันมืดมิดก็จะสว่างสดใสเป็นโลกสีขาวไปได้เอง

ชีวิตคนเราอยู่ที่เราจะแต่งแต้มสีในชีวิตเราให้เป็นอย่างไร
ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะหยิบสีไหนมาใส่ใจ

ใครหยิบยื่นสีดำมาให้เรา ไม่เท่ากับเราหยิบสีดำมาทาตัวเราเอง
และเฉกเช่นเดียวกัน
ใครหยิบยื่นสีขาวมาให้เรา ถ้าเราไม่หยิบสีขาวมาทาตัวเรา
โลกของเราจะกลายเป็นสีขาวได้เฉกเช่นไรกันคร้า

เห็นไหมค่ะ สิ่งรอบตัวมีผลก็จริง แต่สิ่งที่มีผลกับทุกสิ่งที่สุด
คือตัวเราค่ะ ที่จะหยิบสีไหนมาแต่งแต้มสีสันในชีวิตเรา

ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร ชีวิตเราเลือกได้ทั้งนั้น
ว่าเราจะเดินไปทางไหน และแต่งแต้มสีในชีวิตให้เป็นเช่นไร

เป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะค่ะ
เดินต่อไป........นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

สังคมก้มหน้า


สังคมก้มหน้า เกิดขึ้นในยุคนี้
พฤติกรรมมนุษย์ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย



ตื่นเช้ามาก็หยิบมือถือ เช็คไลน์ ส่องเฟสบุ๊ค อ่านทวิสเตอร์
จะเข้านอนก็ต้องหยิบมือถือมาดูก่อน 
บางคนนี้สิงกับมือถือ ขาดไม่ได้ ยิ่งกว่าอาหารเสียอีก


เพราะยุคนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
การสื่อสารของมนุษย์ก็ปรับช่องทางให้ไวขึ้น
และด้วยความไวในการสื่อสารนี้เองทำให้
มนุษย์ใจร้อนขึ้น สมาธิสั้นลง โดยไม่รู้ตัว

ลองปรับเวลาในการจับมือถือเล่นโซเซียลให้น้อยลง
เราจะรู้สึกได้ทันทีว่าเรามีเวลาในชีวิตมากขึ้น

บางคนทำงานทุกอย่างผ่านจอเล็กๆในมือถือตลอดเวลาเลย
อันนี้สิ่งที่จะตามมาคือ สายตาจะสั้นลง และพร่ามัว
บางทีใช้สายตามากเกินไป สายตาก็อ่อนล้าโดยไม่รู้ตัว
ส่งผลในระยะยาวได้อีก อาการปวดหลัง ไหล่และปวดกล้ามเนื้อช่วงคอจะตามมา

ลองปรับไปทำงานผ่านจอคอมเป็นหลัก ยังไงก็ดีกว่า
แล้วใช้มือถือแค่เป็นส่วนเสริมในการทำงาน ช่วงระหว่างเดินทาง
ก็จะช่วยในเรื่องสุขภาพได้มากขึ้น

แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้เลย แนะนำควรบริหารสายตา
บริหารกล้ามเนื้อช่วงไหล่ คอ
แล้วก็ควรหาเวลาพักสายตาจากจอมือถือเป็นระยะๆ
ไม่จ้องหน้าจอมือถือนานเกินควร ก็จะช่วยได้ในส่วนหนึ่ง

แบ่งปันเวลา สัดส่วนดีๆ เราก็จะมีเวลาทำอะไรอีกเยอะเลยละ
ลดช่วงเวลาเล่นโซเซียลให้น้อยลง
เอาเวลาส่วนพักผ่อน ยามว่างเล่นโซเซียลสักครึ่งหนึ่ง
ลองมาออกกำลังกาย  อ่านหนังสือ หาดูหนังสักเรื่องให้ผ่อนคลายสมอง
หรือจะเป็น หากิจกรรมยามว่างทำ อย่าง วาดรูป ร้องเพลง ทำอาหาร เป็นต้น

เห็นไหมละว่า เราจะได้ เวลาสร้างความสุขในชีวิตจริงเพิ่มขึ้นมา
แทนที่จะมีความรู้สึกไปกับแค่ เสพเรื่องราวใครอื่นในโซเซียล
มีทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดีมาให้อ่านได้ทุกวัน

แบ่งเวลาให้ดี เราจะมีชีวิตอิสระในแบบที่เราสร้างได้
อย่าใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อทำงาน
อย่าใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อความสนุก
อย่าใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อเสพสุข
อย่าใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อหลับใหล
อย่าปล่อยเวลาที่ผ่านชีวิตเราไปอย่างไร้ค่า
แต่จงทำชีวิตให้มีคุณค่า และมีความหมาย ในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว

เดินต่อไป......นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

นิทานสอนใจ เรื่อง ยายดีกับตามี


ใกล้ชิดมองเลยผ่าน มองเห็นแต่สิ่งไกล
ในหลายๆครั้งที่เรามักมองเห็นสิ่งดีในที่ไกล
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดของใครอื่น



ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดก็ขอเล่าเป็นนิทานสอนใจเรื่องหนึ่งให้ฟังแล้วกันนะ

เรื่อง ยายดีกับตามี

ตามีกับยายดี 2คนตายายทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆ โดยในแต่ละวัน ยายดีดูแลร้านอยู่ที่บ้าน
ตามีจะต้องออกจากบ้านไปหาลู่ทาง หาเพื่อน สังสรรค์ พบปะเจอผู้คน
ในแต่ละวันที่ตามีกลับบ้าน ตามีมักจะกลับมาบอกเล่าเรื่องราวดีๆของคนอื่นให้ยายดีฟังทุกวัน

ไม่ว่าจะ ยายดี วันนี้ คนนั้นพูดจาดีกับตามากเลย
ยายดี วันนี้ นายนั่นเลี้ยงมื้อเที่ยงตาด้วยละ
ยายดี วันนี้ เพื่อนๆกล่าวชมตาด้วยละ
ยายดี วันนี้ คนนั่นให้ของตามาด้วยละ
ยายดี วันนี้ คนนั่นสอนตาทำนู่นนี่นั่นด้วยละ
ยายดี วันนี้ เจอคนนั่นสวยมากเชียวละเก่งด้วย
และอื่นๆ อีกมากมาย

ตาเล่าเรื่องราวที่เจอให้ยายดีฟังทุกวันอย่างมีความสุข
และในทุกครั้ง ยายดีก็ได้แต่ยิ้มรับฟังตามีพูด แล้วปรนนิบัติตามี หลังจากนั้นเสมอ

จนวันหนึ่ง อยู่ๆ ตามี ก็กลับมาด้วยหน้าตาโกรธเกี้ยว หงุดหงิด ไม่สบอารมณ์
เหมือนคนที่มีความทุกข์ถนัด ยายมีจึงเข้าไปหาใกล้ๆ
แล้วเอ๋ยถามด้วยเสียงเบาๆ ว่าตาจ๋า ตาเป็นอะไรหรือเปล่า ดื่มน้ำหน่อยนะ จะได้ผ่อนคลายขึ้น
ตามี สะบัดน้ำที่ยายดียื่นให้ หล่นลงพื้นต่อหน้ายายดี
พร้อมคำพูดที่ยายดีไม่คิดว่าจะได้ยิน "ทำไมยายดีไม่เห็นเหมือนเมียคนอื่นของเพื่อนตาเลย
ทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ไม่ใช่แค่นั่งฟังแล้วยิ้มโง่ๆอยู่ทุกวันแบบนี้ "

หลังจากตามีพูดจบ ยายดีน้ำตาคลอ พร้อมกลั้นน้ำตาและเดินออกจากที่ตรงนั้น
ส่วนตามี ด้วยความที่โมโห ก็เดินหนีเข้าห้อง ปิดประตูขังตัวเองไว้
ยายดีไปเคาะประตูหลายรอบ ก็ได้ยินเพียงเสียงตะโกนตอบกลับมาว่า "อยากอยู่คนเดียวโว้ย"

ยายดีจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง มีเนื้อความว่า
ตาจ๋า ยายขอโทษนะ ที่ยายทำได้แค่นี้

ยายไม่ได้พูดจาคำไพเราะตลอดเวลาแต่ที่ยายมีให้คือความจริงใจ
ยายไม่ได้แต่งหน้าสะสวยให้ตาดูทุกวันเพราะยายเชื่อว่าตาไม่ได้เลือกยายที่หน้าตา
ยายไม่ได้เก่งฉลาดแบบตา เพราะยายนับถือตาเป็นฮีโร่ของยาย
ยายไม่ได้ทำอะไรพิเศษมากมาย เพราะยายตั้งใจทำทุกสิ่งให้กับตาเสมอ

ขอโทษนะที่รสมือยาย อาจจะไม่ดีเท่า รสมือใครอื่น
ขอโทษนะที่หน้าตายาย อาจจะไม่ดีพอ ถ้าเทียบเท่ากับใครอื่น
ขอโทษนะที่คำพูดยาย อาจจะไม่หวานเสนาะหู เหมือนใครอื่น
ขอโทษนะที่ความคิดยาย อาจจะคิดได้ ไม่ฉลาดเท่า กับใครอื่น
ขอโทษนะที่สิ่งที่ยายทำให้ทุกวัน อาจจะไม่ดีเท่า กับใครอื่น

ถ้าสิ่งสุดท้ายที่ยายทำให้ตาได้คงมีแค่สิ่งเดียว
ให้ตามีความสุขในแบบที่ตาเป็น
ณ วันนี้ ยายคงไม่ใช่สิ่งมีค่าที่ตาเคยมองเห็นอีกแล้ว
แต่ตายังคงเป็นสิ่งวิเศษในใจยายเสมอ

ดูแลตัวเองด้วยนะ ตามี
จากยายดี

ยายทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งด้วยคราบน้ำตา และเดินทางออกจากบ้านในตอนเช้าตรู่อีกวัน
ตามีตื่นเช้ามาเรียกหายายดี เพราะปกติจะมีสำรับอาหารเช้า และเสียงปลุกจากยายดี
แต่วันนี้ไม่มี ตามีเดินตามหายายดีทุกซอกทุกมุมของบ้านก็ไม่พบ
พบแต่จดหมายพร้อมสร้อยคอล็อคเก็ตอันหนึ่ง

ตามี รีบหยิบจดหมายฉบับนั่นมาอ่านทันที พร้อมหยิบล็อคเก็ตกำไว้ที่มือแน่น
น้ำตาลูกผู้ชายได้หยดลงบนจดหมายฉบับนั่นอีกครั้งหนึ่ง
ตามีอ่านจบ ปาดน้ำตาแล้วรีบออกเดินทางไปบ้านแม่ยาย

แต่พอใกล้ถึงบ้านแม่ยาย มีตำรวจ และผู้คนหนาแน่น ตามีก็สงสัยว่ามีอะไร
พอเดินเข้าไป ตามียืนนิ่งเหมือนทุกอย่างพลันหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะ
เพราะ หญิงสาวที่นอนบนพื้นด้วยกองเลือดนั่นคือยายดี

ตามีวิ่งกรูเข้าไปพร้อมน้ำตาเดินถลาหาร่างยายดี ตะโกนสุดเสียงใจความว่า ยายจ๋าตาขอโทษ
ตาขอโทษนะยายจ๋า  ยายตื่นมาคุยกับตาก่อนสิ ยายจ๋า ฮือๆ

ตาได้แต่ร่ำไห้กับกายที่ไร้ซึ่งวิญญาณของยาย....แต่ไม่มีเสียงจากยายตอบกลับมาเลย

หลังงานศพยายดี ตาจึงกลับมาทบทวนตัวเอง
เก็บล็อคเก็ตที่ยายทิ้งไว้ให้ พร้อมนำจดหมายยายมาใส่กรอบเพื่ออ่านเตือนใจเสมอ
เริ่มหันมาให้ความใส่ใจกับพ่อแม่ พ่อตาแม่ยาย แวะไปหา ดูแล ซึ่งก่อนหน้าไม่เคยมี
มองหาความรักที่อยู่รอบตัว และนึกถึงสิ่งดีๆที่ยายดีเคยทำให้แล้วยิ้มด้วยความสุขเสมอ

ตามี ยิ้มและบอกกับตัวเองว่า ตาจะมีความสุขในแบบที่ตาเป็น อย่างที่ยายอยากให้เป็น
เพราะนั่นคือสิ่งที่ยายทิ้งไว้เป็นสิ่งสุดท้ายให้ตา

สำหรับนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า 
อย่ามั่วมองเห็นคุณค่าจากคนไกลตัว
จนลืมเห็นคุณค่าจากสิ่งที่เรามีอยู่

บางครั้งสิ่งที่เราได้รับในทุกวัน เพราะมันเคยชินเราเลยมองผ่าน
แต่พอคนอื่นมอบให้เพียงครั้งคร่าว เรากลับคิดว่าดีมากมายจนลืมคิดถึงสิ่งที่มี

อย่าละเลยความรู้สึกของคนใกล้ชิด
อย่ามองผ่านในการกระทำของคนชิดใกล้
จงรู้จักถนอมน้ำใจใส่ใจคนชิดใกล้
ก่อนที่จะไม่มีคนนั้นอยู่ในชีวิตคุณ

เขียนโดย....น้องใหม่

@...Miiez...@