วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2567

บทเรียนจากสังคม


เมื่อคุณก้าวเดินไปในที่ที่สังคม ที่คุณได้รับคำเชิญให้ไปในกลุ่ม 

แต่เมื่อไปถึง สิ่งที่คุณสัมผัสได้คือ เหมือนคนเหล่านั้นไม่ได้อยากให้ไปอยู่ตรงนั้น 

คำถามหรือสิ่งต่างๆที่มันอยู่ในหัว มันค่อนข้างออกไปในทางที่ไม่ดี 

และเกิดคำถามว่า ฉันจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสังคมแบบนี้หรอ 

คำตอบคือไม่ ฉันเลือกสังคมได้ 

ถ้าไม่เจอสังคมที่ดี ก็แค่สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วยตัวเอง 

ชีวิตคนเรานั้นสั้น ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปคลุกคลีกับสิ่งที่บั่นทอนจิตใจ 

และอธิบายเรื่องที่คนอื่นไม่เคยได้เจอความเจ็บปวดเหล่านั้นให้ใครฟัง

เพราะความเจ็บปวด  เรื่องราวความทุกข์ เวลาเราเล่าให้ใครฟัง 

สิ่งที่เกิดขึ้น คือ การสานต่อคำพูด ตามมิติแนวคิดของแต่ล่ะคน เพราะเค้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง

และมันจะเป็นวงกว้างไปตามแนวความคิดคนไปเรื่อยๆ 

แต่ความทุกข์ ความเจ็บปวด กับเหตุการณ์ที่เราเจอ ทุกเรื่องราวที่เราประสบ 

เราจะผ่านมันไปด้วยความเข้มแข็ง และวันหนึ่งที่จิตใจเราสามารถให้อภัยกับทุกเรื่องได้จริงๆ 

เราก็จะสามารถ ยิ้ม และ เดินพูดคุยกับสังคมที่แม้เคยทำร้ายเราได้ ด้วยใจเป็นกลาง

และมองแค่เพียงผ่าน ว่ามนุษย์ทุกคน ก็ก้าวเดินตาม กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง 

แต่สุดท้ายทุกคนก็หนีไม่พ้นซึ่งความตาย

คำว่าเพื่อน หรือ มิตรภาพ ถ้านั้นคือเพื่อนหรือมิตรภาพเราจริงๆ 

ไม่ว่าจะห่างหายไปนานแค่ไหน กลับมาอีกกี่ครั้ง นั้นก็ยังเป็นเพื่อน และ มิตรภาพที่ดี 

แต่เมื่อไหร่ที่เป็นสังคมที่โหดร้าย ไม่ว่าเดินกลับไปอีกกี่ครั้ง นั่นก็ยังเป็นพื้นที่โหดร้ายกับเราเสมอ 

ขอบคุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าโลกภายนอกก็ยังคงมีความสวยงามผสมความโหดร้ายเสมอ


วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2566

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคน

 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคน


1. หนึ่งคำพูดของคน ตีความได้หลายความหมาย ตามจินตนาการและประสบการณ์ของแต่ล่ะบุคคล  เมื่อได้รับรู้เรื่องราวจากใครมา จงพินิจโดยใช้ปัญญาไตร่ตรองก่อนให้ดี ดูที่การกระทำและเจตนา เป็นหลัก

2. อย่าตัดสินใครจากคำพูดของคนอื่น เพราะเรื่องราวมักมาไม่ครบ หรือบางครั้งตัวเราเองนั่นแหละที่มีจินตนาการและอารมณ์ไปกับเหตุการณ์นั้นๆได้ 

3. ใครหยิบยื่นน้ำใจให้ อย่าให้ใจว่าเค้าดี อาจจะมียาพิษแฝงอยู่ในนั้น ดูคนให้ดูนานๆ 

4. มิตรภาพที่แท้จริง มักมีแต่ความหวังดีให้แก่กัน ใครที่กล้าเตือนเมื่อเรากระทำสิ่งที่ไม่ดี จงเก็บคนเหล่านั้นไว้ให้ดี เพราะมีน้อยคนนักที่จะกล้าเตือนเมื่อเราทำผิด คนส่วนใหญ่มักปล่อยให้เราหลงผิดมากกว่าเตือนสติ เนื่องจากเสี่ยงมากที่เตือนสติแล้วจะถูกโกรธใส่ 

5. เมื่อได้เรื่องราวไม่ดีของใครมา ถ้าอยากรู้มากนัก จงถามเจ้าตัวที่โดนกล่าวถึงไปเลยตรงๆ แต่อาจจะงง เพราะข้อมูลที่ได้มาค่อนข้างจะไปไกล แล้วปล่อยไว้ตรงนั้น แค่รู้ในแต่ล่ะด้าน อย่าตัดสินใคร เพราะแต่ล่ะคนมักพูดในมุมของตัวเองเสมอ 

6. 

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2565

บันทึกการเดินทาง อีกก้าวของชีวิต

 บันทึกการเดินทาง อีกก้าวของชีวิต


ผ่านไปแล้ว 3 ปี จากจุดที่ออกมาเริ่มใช้ชีวิตด้วยตัวเอง 

ออกเดินทางตามหา ความหมายของการมีชีวิต 

ออกเดินทางตามหา คุณค่าของการใช้ชีวิต

ออกเดินทางตามหา สิ่งที่อยากจะส่งทิ้งไว้บนโลกใบนี้จนนาทีสุดท้ายของชีวิต


บนโลกใบนี้ หากมองในภาพกว้าง ช่างกว้างใหญ่ไพศาล

ถ้าเราหาจุดยืนในเส้นทางตัวเองไม่เจอ เราจะถูกโลกพัดพาเราไปตามทิศทางของสังคม

จนเราลืม หัวใจและเสียงของตัวเอง ที่มันดังอยู่ข้างใน 


โลกกว้างใหญ่ ที่มาพร้อมกับปัญหาของผู้คน ที่มากด้วยความต้องการสารพัด

เราแค่เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาสักหนึ่งเรื่องที่เราชอบ

เราก็สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แบบมีคุณค่า และมีชีวิตได้แล้ว 


มองตัวเองจากจุดที่เริ่มก้าวออกจากการทิ้งอดีตทุกสิ่ง ละทิ้งความกลัวทุกอย่าง

และใช้ความกล้าและบ้า ที่ออกมาจากเส้นทางเดิมที่เคยเดินทั้งหมด

มาเริ่มทำหลายๆสิ่งที่อยากทำ โดยไร้กรอบและขีดข้อจำกัด 

เพื่อเรียนรู้ในสิ่งภายนอกบ้าน ห้องเรียน มาเรียนรู้ผู้คน และสังคมภายนอก 

โลก Offline ที่ไม่เคยสัมผัสและเรียนรู้ 

เหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งได้เห็นข้อจำกัดหลายๆอย่างและข้อดีของ Offline

ผนวกกับข้อดีและข้อเสียของตลาดออนไลน์ที่เคยเรียนรู้มา 


ยังจำปีแรกที่เดินออกมาได้ เริ่มจาก 0 ใหม่อีกครั้ง 

ออกมาเช่าคอนโดเดือนล่ะหลักพัน 

เดือนแรกตั้งเป้าหมายหาค่ารายได้ที่เป็นค่าใช้จ่ายทั้งปีให้ได้ก่อน 

เมื่อทำได้แล้ว เดือนถัดไปก็ค่อยหา Passion ในการที่จะสร้างสิ่งแปลกใหม่ 

ที่เรียกว่าอาชีพของชีวิต ลองไปหลายทาง ลองไปให้สุด 


อันไหนที่ทำแล้วไม่ชอบ ก็แค่เรียนรู้ และถามตัวเองว่าไม่ชอบเพราะอะไร 

ถ้าสำเร็จถึงขีดสุด เห็นภาพปลายทางของสายนั้น เราจะโอเคกับ Status ที่อยู่ไหม

ถ้าคำตอบคือไม่ชอบ แล้วรู้สึกจะต้องอึดอัดมากๆ กับการเป็นตัวเองในเส้นทางนั้น

แล้วจะเดินไปสายนั้นทำไม แค่เพราะ รายได้ดี งั้นหรอ แต่ ความสุขในตัวเองหายไป

บนโลกใบนี้ ไม่ได้มีเส้นทางเดียวให้ประสบความสำเร็จนิ 


ก็แค่มองหาเส้นทางที่เรา สุข สำเร็จ ในแบบที่เราสบายใจดีกว่า

เพราะถ้าเรามีความสุขในทุกๆวัน ที่เรามีลมหายใจอยู่ 

นั่นคือกำไรของการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้แล้วล่ะ 


ส่วนเส้นทางอาชีพที่เรา อยากจะเป็น ก็แค่ทดลองไปเรื่อยๆ 

จนกว่าเราจะเจอว่า อะไรที่เราไม่เคยทิ้งเลย เราสามารถอยู่กับมันได้ทุกวัน 

ให้การทำงานเป็นความสนุก มีความสามารถ มีความพยายามในการหาความรู้เพิ่มเติมได้

นั่นก็คือ สิ่งที่เราชอบที่จะลงมือทำนั่นเอง 


โลกใน 3 ปี ที่ออกมา เชื่อไหม ใช้เงินสำหรับการเริ่มต้นทุกสิ่งน้อยมากๆ 

แต่สิ่งที่ใช้มากกว่า คือ ความสามารถของคน 


สิ่งที่เจอและต้องแก้ปัญหาหลักๆส่วนใหญ่คือเรื่องของคน

จะเจอคนที่มีศักยภาพมากๆ นิสัยดี แต่ แทบไม่มีเวลา 

เพราะยิ่งคนมีความสามารถ ก็จะเป็นที่ต้องการของทุกคน

จะเจอคนที่มีศักยภาพมากๆ แต่ติสถ์สุดๆ 

คนกลุ่มนี้ จะมีความเอาแต่ใจสูง  ต้องรู้จักสั่งงานเป็นที่ไม่ไปดูถูกเนื้องานเค้า

จะเจอคนที่มีศักยภาพกลางๆ อันนี้ ก็จะเป็นเรื่องของนิสัยล่ะ 

ว่าพร้อมเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเองแค่ไหน 


หน้าที่ของผู้บริหารที่มาจัดการความวุ่นวายเหล่านี้ 

คือเป็นการจัดระเบียบคน ให้อยู่ในที่ทางที่เหมาะสม 

บางคนเน้นเรื่องผลตอบแทนเป็นหลัก บางคนเน้นเรื่องสนุก 

บางคนเน้นเรื่องการให้เกียรติ บางคนเน้นเรื่องอำนาจ บารมี

หน้าที่ของเรา คือ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แล้วหาจุดลงตัวให้เจอ 


สิ่งสำคัญที่จะต้องระวังอีกเรื่องไม่แพ้กัน คือ ต้นทุนแฝง

บางคนที่เจอ พังเพราะลืมคิดเรื่องต้นทุนแฝง สรุปทำไปมาขาดทุน


การบริหารจัดการเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ 

เพราะเวลาที่เราดูงานหลายโปรเจค จะเป็นเรื่องที่ใน 1 วัน อาจจะต้องคำนวนเวลาดีๆเลย

สิ่งที่เจอและเป็นปัญหากับเรื่องนี้ คือ คนที่ไม่ตรงต่อเวลา และไม่เป็นตามคำพูด

นั่นคือเป็นเรื่องปกติเลย  หน้าที่ของเราก็คือ เรียนรู้พฤติกรรมผู้คน

และจัด Level อีกที เพื่อการทำงานที่ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผนงานสำรอง ที่จะมาทดแทน


การเป็นผู้บริหาร เท่าที่เรียนรู้มาทั้งหมด จะแบ่งเป็นส่วนสำคัญหลักๆ 

1. ต้องมองภาพกว้างให้เป็น  หมายความว่า จะต้องมองภาพโดยองค์รวมให้ออกว่า จุดสำคัญของเนื้องานอยู่ที่ตรงไหน ทิศทางงานจะไปยังไงเพื่อจะเอามาเขียน Timeline งานให้ได้ แล้วหาจุดระวังให้เจอ และมองหาจุดแก้ในส่วนที่ระวังให้ออก  เป็นต้น

2. ต้องสั่งงานคนเป็น หรือหากคุยกับคนไม่ได้ ก็ต้องหาตัวตายตัวแทน ที่เราสื่อสารได้แล้วให้คนนั้นเป็นคนสื่อสารแทนเราทั้งองค์กร   นี่คือสิ่งสำคัญมากๆ เพราะบางครั้งเราไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง แต่มีคนที่เก่งกว่าเราในแต่ล่ะด้าน ก็ให้คนที่เชี่ยวชาญด้านนั้น พูดคุยกัน คนที่ทำงานด้านตรงสาย จะฟังคนที่มีความรู้โดยตรง มากกว่าผู้บริหารที่ไม่มีความรู้  ส่วนคนที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ก็คือคนที่เป็นคนประสานและเปลี่ยนภาษาทางเทคนิคให้เป็นภาษามนุษย์ 

3. หาคนเก่งในแต่ล่ะด้าน มาเป็นคนทำงานให้เรา จะสร้างเมืองทั้งเมืองได้ เราคง One Man Show ไม่ได้ สิ่งที่เราทำคือ หาทรัพยากรที่เก่งและเชี่ยวชาญ และมอบหมายให้ทำงานในเนื้องานที่แต่ล่ะคนถนัด

4. หาพันธมิตรที่ดี 

5. อย่าสร้างศัตรู

6. ไม่สร้างภาระเยอะ







วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2565

Start New Life


หลายๆครั้งที่เราเจอปัญหากับชีวิตหนักๆ หลายๆเรื่อง ที่มันถาโถมเข้ามาใส่

ยิ่งคิดถึงปัญหา จึงมีปัญหาอื่นๆมากมายตามมา 

มันไม่ง่ายเลยที่จะออกจากปัญหา ถ้าเราดึงใจเราออกจากปัญหาไม่ได้ 

สิ่งที่ตามมา นั่นก็คือ ใจเราจะจมไปพร้อมกับปัญหา 

และความมืดมนมันจะตามมา 

แล้วความท้อแท้ สิ้นหวังของชีวิตจะตามมา แล้วจะกลายเป็นเอฟเฟคโดมิโน่ 


สิ่งที่ทำได้ ณ เวลา ตอนนั้น คือ การหยุดนิ่ง

ใช่แล้ว บางครั้งเจอเรื่องหนักๆ มาเยอะ เครียดใช่ไหม คิดมากใช่ไหม

แค่หยุดนิ่ง หยุดเคลื่อนไหว พักกาย พักใจ 

ให้รู้สึกใจเรานิ่งพอที่จะสามารถใช้พลังงานต่างๆในทางที่ถูกได้ 

แล้วก็ค่อยๆ ใช้สติ มองไปที่ปัญหาแต่ล่ะจุด  


หาต้นเหตุของปัญหา แล้วค่อยๆแก้ไป  เราจะเจอปัญหาที่แก้ได้และแก้ไม่ได้ 

ยอมรับกับปัญหาทุกอย่างที่เราเจอ  ไม่ว่าจะหนักแค่ไหน ถ้าจะผ่านมันไป ก็แค่ยอมรับ 

แล้วก็จะเริ่มทำการปลดปล่อยปัญหาเหล่านั้นออกไป 


บางปัญหา เป็นปัญหาของคนอื่น ไม่ใช่ของเรา แต่เราดันไปทุกข์กับเค้า 

เพราะเราดันไปเป็นห่วงชีวิตของเค้ามากเกินไป  ต้นเหตุคือการห่วง ก็แค่หยุดห่วง 


แล้วค่อยๆ กลับมาดูแต่ล่ะ ปัญหา แต่ล่ะเรื่อง แล้วแก้ไปทีล่ะเรื่อง

ปัญหาไหน ไม่ใช่ปัญหาเรา ก็แค่ปล่อยวาง 


แล้วกลับมาเริ่มที่ตัวเองใหม่  บางครั้งปัญหาหลายๆอย่างเข้ามาถล่ม

ตอนที่เราไม่มีสติกับมัน  อารมณ์ มันก็จะพักพาทำลายได้ทุกสิ่ง


เคลียร์ไปทีล่ะเรื่อง วางไปทีล่ะอย่าง

พัฒนาตัวเองไปทีล่ะด้าน  ไม่ต้องรีบวิ่ง 

ค่อยๆเดิน ค่อยๆเรียนรู้  ไปทีล่ะเสต็ป  


เมื่อมีปัญหา อย่าจมกับมันนาน เดี๋ยวความสิ้นหวังจะเกาะกิน 

แต่จงเรียนรู็ และค่อยๆ ทำความเข้าใจ หาทางแก้ไปทีล่ะอย่าง


หาชีวิตเราให้เจอ  แล้ววาดภาพลงไปในหัว 

ค่อยๆทำในสิ่งที่เราวาด ในทุกๆวัน 


แม้ความขี้เกียจ หรืออุปสรรคใดใด จะเข้ามาขวางกั้น  จงทำมันให้ได้ซ้ำๆ ในทุกวัน 

แล้วมันจะค่อยๆ เห็นพัฒนาการของจิตเอง 


เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564

บาป

 

คำว่า บาป มีจริงไหม  แล้วกระทำแบบไหนที่เรียกว่าบาป 

เมื่อกระทำบางสิ่งออกไป แล้วคุณอาจจะเกิดความรู้สึกเสียใจในภายหลัง

นั้นคือ ความรู้สึกผิดหลังจากที่กระทำไป นั่นล่ะบาป 

แล้วถ้าเราไม่รู้สึกผิด นั่นก็คือ เราไม่ทำบาปหรอ 

สิ่งที่เราจะแยกแยะได้นั่น คือการมีปัญญา และ มีสติ 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การเห็นผิดเป็นชอบ นั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด 


วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2564

ยิ้มเล็กๆ





แค่รู้สึกคิดถึงการเขียนบทความของตัวเอง
แล้วได้กลับมาอ่านหลายๆบทความที่ตัวเองเคยเขียน
เหมือนได้ย้อนรอยกลับไปยังห้วงเวลาของอดีตอีกครั้ง
แต่เชื่อไหมว่าบทความที่เราเคยเขียนมันมีพลังของตัวอักษร
ที่ทำให้เรารู้สึกอมยิ้มกับตัวเอง
แล้วมีความรู้สึกหนึ่งแว่บเข้ามาในหัว
เป็นความรู้สึกดีที่ได้อ่านเรื่องต่างๆที่ตัวเองเขียน

ฉันไม่รู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้ฉันจะเจอกับเรื่องราวอะไร
แต่การที่ฉันได้เขียนบทความเล็กๆสักบทความไปเรื่อยๆ
มันทำให้ฉันมีความสุขทั้งตอนที่ได้เขียนและตอนที่ได้กลับมาอ่าน

ฉันชอบฟีลนี้จัง
ขอบคุณนะตัวฉัน
แล้วฉันจะกลับมาเขียนบทความต่อเรื่อยๆนะ

เดินต่อไปนักเดินทางตัวน้อยๆ

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

บังเอิญ




การเจอกับใครบางคนในชีวิต เชื่อไหมว่า ไม่ใช่เหตุบังเอิญ
คนนับล้านคนบนโลก เดินสวนกันมา แต่ไม่ได้รู้จัก

แต่ทำไมกับบางคนถึงได้รู้จัก มักจี่ด้วย
นั่นล่ะ คือสิ่งที่เรียกว่า โชคชะตา นำพามาให้เจอ

แล้วหลังจากนั้น ก็เป็นเรื่องของกรรมลิขิต ต่อจากนั้น
เหตุใด บางคนยิ่งพูดคุย ยิ่งรู้สึกอยากรู้จักเพิ่ม
และเหตุใด บางคน ยิ่งคุยยิ่งไม่อยากรู้จักต่อ

เหตุเพราะจิตของเรา ที่ปรุงแต่งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ
แล้วโลกจะผลักสิ่งที่เราไม่ชอบออกจากตัว
ดึงสิ่งที่เราคิดว่าชอบเข้ามาหา

เลยไม่แปลกใจว่า คนที่เราคบหา อย่างน้อยต้องมีอะไรบางอย่าง
ที่เรานึกชอบสิ่งใดในตัวคนนั้น

เรามักจะเคยได้อ่าน ได้ยิน คำพูดหนึ่งว่า
อยากมองเห็นตัวเอง จงมองเพื่อนที่คุณเลือกคบ
เพราะนั่นคือ บางนิสัยที่มีในตัวเรา

หลายต่อหลายครั้ง ที่เราได้เจอใครบางคนในความรู้สึก บังเอิญจัง
แล้วความรู้สึกต่อจากนั้น คือการสานต่อความรู้สึกออกไป

ขยายเรื่องเล่า รับฟัง พูดคุย ทำความรู้จัก
และมักจะเจอเรื่องแปลกบ่อยครั้ง
คือ ไม่น่าเชื่อเลย ที่ได้เจอกัน
จึงได้รู้จักตัวตนกันเพิ่ม  ความบังเอิญที่บังเอิญกว่า
คือ  มีสิ่งที่ชอบ และนิสัยที่เป็นคล้ายๆกันอีก

แล้วเชื่อในโชคชะตาไหม  ว่า ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
เข้าใจคำว่า โลกจัดสรร ก็วันนี้ล่ะ

บางครั้งเราก็ได้รับพลัง จากใครบางคนที่พูดคุยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ได้นะ

หากเจอเพื่อนที่ทำให้คุณรับรู้ถึงพลังบางอย่างในตัวเอง
จงเปิดใจ รับใครสักคนมาเป็นเพื่อนคุณสะ

แล้วชีวิตจะมีเรื่องราวที่ คุณรู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง ที่คุณไม่รู้ว่ามันคืออะไร
รู้แต่ว่า นั่นเป็นพลังงานที่ดี ที่จะขับเคลื่อนชีวิตเราได้เพิ่มอีกพลัง