วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ความต้องการของมนุษย์

ความต้องการของมนุษย์ คือบ้าน




ที่ที่รู้สึกเหมือนบ้าน
- มีความอบอุ่น
- มีความเข้าใจ
- มีความรักความเมตตา
- มีความเชื่อความศรัทธา
- มีการยอมรับซึ่งกันและกัน
- มีอิสรภาพในการกระทำ 
- มีความปลอดภัย

ถ้าในบ้านมาเต็ม คุณจะไม่ต้องไปหาสิ่งเติมเต็มจากข้างนอกเลย
แต่ส่วนใหญ่ มนุษย์มักขาด จึงออกตามหาสิ่งที่ขาดจากที่อื่น
จนลืมไปว่า ทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเอง 

ถ้าตัวเองยังไม่เต็ม แล้วตามหาจากคนอื่น  เติมยังไงก็ไม่เต็ม
เพราะคุณยังคงเรียกร้องให้เค้าอยากเติมเต็มในสิ่งที่คุณขาดเรื่อยๆ
เติมจนมันไม่เคยพอ   ไม่เคยเต็ม  เพราะอยากได้มากขึ้นทวี

บางคนอยากให้คนมาเติมเต็ม  แต่ไม่เคยเติมเต็มให้กับใคร

สุดท้ายแล้ว โลกสอนให้เรารู้จักตัวเราเอง
รักตัวเองให้เป็น  ให้ความสุขตัวเอง
ไม่อยากได้ของคนอื่น 
พอใจในสิ่งที่เรามีและเป็น

โลกจะโคจร คนธรรมดาที่มี สิ่งที่เหมือนกับเรามาพบกัน
เจอกันในโลกของมิตรภาพ
แต่ท้ายสุด ก็พบเพียงเพื่อผ่าน จากลาเป็นอาจิณ
ไม่มีสิ่งไหนที่จะสามารถหยุดกาลเวลา
หยุดช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นให้คงอยู่
ผลักช่วงเวลาร้ายๆให้หายไป

เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้คิดว่า
ไม่ว่าร้ายหรือดี เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
จะกังวลทำไมกับอนาคตที่มาไม่ถึง
จะยึดติดทำไมกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว

ลงมือทำกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  ทำให้ดีที่สุด ในจุดที่ยืนก็พอแล้ว
ไม่ต้องเปรียบเทียบความสุขของตัวเองกับใคร
ถ้าเมื่อไหร่ที่เกิดความเปรียบเทียบ
การไม่มีความสุขจักได้บังเกิดขึ้นยามนั้นเลยละ

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
อดีตมีไว้เป็นประสบการณ์
อนาคตมีไว้สร้างความหวัง ความฝัน จุดหมาย ให้ก้าวเดิน
แต่ปัจจุบันคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของเรา

ไม่ต้องดีพอในสายตาใคร
แต่ดีที่สุดในใจเราเท่านั้นพอ

ความสุขอยู่ในใจเรา ความทุกข์ก็เช่นกัน
@...Miiez...@

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สัปดาห์วุ่นๆ กำลังผ่านไป


สัปดาห์วุ่นๆ กำลังผ่านไป
ช่วงนี้แทบไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อคเลย ไอเดียไม่เกิด
ก็นั่งคิดว่า จะเขียนอะไรดีในบล็อควันนี้



อืมมมมมมม นั่งมองจดจ้องกับหน้าจอคอมอยู่ครู่หนึ่ง
ก็ถามตัวเองว่า ฉันจะเขียนอะไรดี
ทำไมไอเดียงานเขียนถึงไม่เกิดเลยช่วงนี้

ก็ได้ความกับใจตัวเองว่า ไม่แปลกหรอก เพราะมีเรื่องให้ต้องทำและคิด
จนพอถึงจุดที่ว่าง ก็อยากพักสมองให้ไม่คิดอะไร
ไม่อยากโลดแล่นความคิดชั่วขณะ

อารมณ์อยากอยู่กับใจที่สงบๆ เย็นใจกับตัวเองสักระยะ
เวลาจิตสงบ มันดีแบบนี้นี่เอง
ไม่ทุกข์ร้อน เพราะไม่ยึดติด
ไม่ได้ร้อนรน เพราะไม่มองว่าสิ่งที่เจอคือปัญหา มันเป็นไปตามธรรมชาติ

กฏของเวลาก็ทำตามหน้าที่ของโลกไป
กฏของกรรมก็ทำหน้าที่ของตัวมันเอง

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ ^^

@...Miiez...@

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป


ตื่นมายามเช้าตรู่  คุยกับพี่ว่า อยากซื้อเครื่องซักผ้าให้พ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัดเน้อ
พี่เช็คว่าถ้าขับบรรทุกกับไป รถจะบอบช้ำได้
ถ้าซื้อที่ต่างจังหวัดเลย ก็คงจะราคาพุ่งไปเกือบเท่าตัว



และแล้วเช็คไปมา เราก็ตกลงปลงใจกับ น้องด้าเป็นที่เรียบร้อย
ไม่ถึงกี่อึดใจ  รูดบัตรไป หลายพัน ช็อปปิ้ง เสร็จสมบูรณ์

เออเน้อ  นี่เราเข้าสู่ยุคที่ อยู่บ้านก็เสียตังส์ได้แล้วสินะ
ความสะดวกสบายเข้าครอบงำ 
เส้นทางการใช้จ่ายเงิน ก็เปลี่ยนไป

จากที่แต่ก่อน เราจะต้องเดินไปห้าง สมัยนี้ แค่คลิก เปรียบเทียบหลายอย่าง
ดูรีวิว ดูราคา ดูการทำงาน กดสั่ง รูดปรืดเดียว
มันนี่ บินออกจากกระเป๋าแล้ว 

ต่อไปก็จะง่ายขึ้นเรื่อยๆ  รอดูการเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้พฤติกรรมนี้เริ่มซึมซัมไปที่คนหลายวัยกันละ

ช่องทางการทำเงิน ทางออนไลน์มีอยู่มาก
มองว่าคนกระโดดเข้ามาเยอะ คู่แข่งเยอะ  อาจจะรู้สึกท้อ
แต่ถ้ามองว่า โอกาสยังมีอยู่มหาศาล ไม่ใช่แค่ที่บ้านเรา แต่ทั่วโลกก็มีพฤติกรรมนี้

เรียกว่า พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนไปทั่วโลก  โลกใกล้ชิดกันมาก
แค่ทำยังไงให้เรา เข้าไปอยู่ในช่องว่างของโอกาสนั่นให้ได้ก็พอ

คิดให้แตกต่าง แล้วจะเห็นโอกาสมากขึ้น
เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

เขาค้อ ภูทับเบิก ธรรมชาติที่สวยงาม


เขาค้อ ภูทับเบิก ธรรมชาติที่สวยงาม


อากาศเริ่มหนาวแล้วสิน้า การกลับไปชื่นชม สัมผัสกับธรรมชาติคงจะดีไม่น้อยเลย
จิตใจเรา พบเจอผู้คน น้อยใหญ่ จิตใจมนุษย์มามากมาย
หันกลับมาดูจิตตัวเอง แล้วสัมผัสกับธรรมชาติ น่าจะตอบโจทย์อะไรเราได้บ้าง

เมื่อไปถึงดินแดนแห่ง เพชรบูรณ์  วิวสำหรับค่ำคืนนี้


ถ่ายภาพจากมุมห้องพัก ช่างดูสบายตาเหลือเกิน ลมโบกพัดโชยมาหนาวเย็นยะเยือก
เหมือนได้มีโอกาสพักผ่อน พักสายตา มองระยะไกล

ห้องพักค่ำคืนนี้ ก็ชื่นชอบดีน้า มี 2 ชั้น ชอบการจัดวางมุมห้อง
เก็บเป็นไอเดีย ไว้แต่งห้องนอนที่บ้านได้ 



ขับตระเวนแถวๆนี้ไม่ไกลนัก เพราะมาถึงก็จะมืดค่ำแล้ว พรุ่งนี้ได้ออกตระเวนต่อ


เช้าตรู่รุ่งขึ้น เราก็ได้ไปชมวิว แถว Pino latte  ลมแรงมาก เรียกได้ว่าหนาวสั่นยามเช้าเลยละ
หูชาเลยที่เดียว  วิวยามเช้าก็สวยดีนะ แต่ชอบที่ได้นั่ง แล้วลมพัดแรง สัมผัสลมกับกาย รู้สึกดีจัง




หลังออกจากที่พัก ก็เริ่มตระเวนละ ไปไหนดีละ เขาค้อไง ทุ่งบ้านกังหันลม 


ยังไม่เคยมานิน่า ระหว่างทางก็มีทางเนินขึ้นสูงบ้าง  บางช่วงก็ไม่ใช่ทางลาดยาง
มีโอกาสได้ใช้เกียร์ 4WD บ้างละ  ขึ้นไปก็เจอกังหันลมอันใหญ่ หลายอันเลย
มีตลาดเล็กๆ ขายของชาวบ้านแถวนั้น มีชิงช้าให้ได้เล่น มีวิวให้ถ่ายรูปสวยๆเพี้ยบเลย
ยังมีชิงช้าสวรรค์แบบชาวบ้านที่ใช้คนหมุนถึง 3 คนด้วยกัน ค่าขึ้นคนละ 50 บาท หมุน 10 รอบ
สนุกมากเลยละ  ไม่ได้หวาดเสียวนะ  สามารถบอกช้าเร็วได้ เพราะใช้คนหมุน




อากาศที่นี้ก็กำลังเย็นๆ สบายๆ ไม่ถึงกับหนาวเย็นมากนะ 
ได้สตรอเบอรี่ มา 2 กล่อง ราคา ก็มีตั้งแต่ 100 150 200 บาทนะสำหรับที่เขาค้อ

ป่ะ ภูทับเบิกกันต่อละ ที่นี้ได้ยินเสียงล้ำลือมานานมาสวยงาม
ไม่มาเจอกับตัวเองก็คงไม่มีทางรู้ว่าสวยงามยังไง 

ระหว่างทางที่ขับขึ้นไป  ถนนคดโค้ง ภูเขาสลับไปมา ยิ่งขึ้นสูงยิ่งหนาวและสวย
ไปมาหลายที่ เห็นมาหลายที่ ก็ยอบรับว่าที่ภูทับเบิก สวยจริงๆ 
เป็นธรรมชาติที่สวยงามมากนะ  อธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่า อยากมาสัมผัสอีก


 จุดชมวิวที่โคตรสวย ถ่ายภาพมายังไงก็เก็บได้ไม่หมดจริงๆ  
อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว มองออกไปตราบนานเท่านาน ธรรมชาติช่างงดงามเหลือเกิน
ได้แต่มองเก็บภาพไว้ในความทรงจำ บุ๊คไว้ว่าอยากจะกลับมาที่แห่งนี้อีก

ขับไปเรื่อยๆ จนถึงภูทับเบิก หมอกลงเต็มที่มาก 



เวลายามนั้น ประมาณ บ่ายโมงกว่าได้มั้ง ลงเดิน ชมชุมชน 
หมอกยังลง อากาศหนาวมากเลยละ น้ำมูกเริ่มจะไหล 
แต่ก็ขอชิมรสชาติ อาหารที่บนดอยสะหน่อย ชิมไป หนาวไป 



สรุปการเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ ได้พลังโอโซนกลับมาเต็มปอดเลยละ 
รู้แค่ว่า เราคงได้ไปที่นี้อีกครั้งแน่ๆ ประทับใจทั้งอากาศและทิวทัศน์
ได้ผักผลไม้ บนภูกลับมาเต็มเลย 

การเดินทางคือการเรียนรู้ ใช้ชีวิตให้เต็มที่
ทำงานจริงจัง เที่ยวก็จริงจัง แบ่งพาร์ทของชีวิตให้ดี

ไม่ต้องดีที่สุดของใครอื่น แค่ดีที่สุดในจุดที่ยืนก็พอแล้ว
มีความสุขแบบเรียบง่าย ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายก็พอ

เดินต่อไป นักเดินทาง ตัวน้อยๆ 

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ครั้งหนึ่งในชีวิต


วันนี้มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นมากมาย
อยากบันทึกเอาไว้เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดี


วันนี้ได้มีโอกาสไปชมนิทรรศการพระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวง
ได้รับน้ำใจจากพี่ชายที่ใจดี อาสาพาไป และยังมีน้องสาวที่น่ารักอีกคนไปด้วยกัน

เนื่องด้วยเป็นวันธรรมดา คนเลยไม่มากนัก
ทำให้เราสามารถเข้าไปชมความงดงามตระการตาได้ไว รอไม่นานนัก

ภาพแรกที่เห็น จากระยะไกล มันดูงดงามมาก
ผู้คนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงวัย มาด้วยใจที่ยังมีความอาลัย

ศิลปะความงดงาม จากจินตนาการ บางอย่างก็ลึกล้ำเกินกว่าจะเข้าใจได้
ที่ประทับใจจากหัวใจเลย คือเวลาเรามองดูเด็กนักเรียน
ที่วิ่งเข้ามาชม ถ่ายภาพต่างๆ นานา ทำให้เราอดนึกถึงตอนเรายังเป็นวัยเด็กมิได้
ยามนั้นถ้าไปเที่ยวงานนิทรรศการ คงไม่รู้สึกว่าน่าสนใจมากเท่ากับตอนนี้

เด็กน้อยที่มองดูด้วยความจดจ้อง หรือบางครั้งอาจจะต้องกลับไปทำสรุป
แต่เด็กน้อยที่วิ่งซน ก็มีการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย คือการเก็บภาพไว้ก่อน
เนื่องด้วยเวลาจำกัดแค่ 1 ชม. เท่านั้น เด็กๆบางคนก็เดินชมตามประสา

บางคนก็คุยจ้อเลย บางคนก็ตื่นตาตื่นใจ บางคนก็เดินตามคุณครูติดแจ่สอบถามไปเรื่อย
มองแล้วช่างน่าเอ็นดูจริงๆนะ  เมื่อมองเห็นเด็กน้อยใหญ่ สิ่งที่เห็นต่อมา

คือคนสูงวัย บางคนนั่งรถเข็นก็มา บางคนมากับลูกหลาน
ชมพร้อมบอกถึงคุณงามความดีของในหลวง ร.9 ให้ลูกหลานฟัง
หรือบางคนมาเป็นกลุ่มสูงวัย แล้วมองดูไป พร่ำพูดไปถึงท่านมากมาย

อีกส่วนที่ประทับใจ คือทีมงานอาสาสมัคร ที่มาดูแลพื้นที่ด้วยใจ
เราได้ความรู้จากพี่ๆ อาสาสมัคร จาก ศิลปะบางส่วน ที่เล่าให้ฟัง
ว่าส่วนนี้นั่น ทำมาจากอะไรบ้าง  อธิบายตรงจุดนั้นให้ฟัง ด้วยใจเย็นมาก

รู้สึกดีจัง และหลังเข้าชมงาน น้องสาวที่น่ารัก ก็ยังพาไหว้พระ นั่งสมาธิที่วัดแถวนั้น
และยังได้ไปเที่ยวชม ม.ศิลปากรด้วยละ

สรุปวันนี้ทั้งวัน มีความสุขแบบได้เห็นโลกอีกใบ
เห็นความสุข จากผู้คน ที่มาชมนิทรรศการ
เห็นความสุขในใจเรา ที่สงบนิ่ง และเย็นใจ

สุขที่อยู่ตรงหน้า คือสุขปัจจุบัน ขณะ
ชื่นชอบกระทำอย่างไร จิตเราจะใฝ่หา และกระทำอย่างนั้น

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อย ๆ

@...Miiez...@

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

มีเรื่องราวผ่านพบ มีเรื่องราวจดจำ


มีเรื่องราวผ่านพบ มีเรื่องราวจดจำ
บางเวลาของชีวิตดูเงียบเหงา
บางเวลาของชีวิตดูยุ่งเยิ่ง
บางเวลาของชีวิตดูมีความสุข
บางเวลาของชีวิตดูมีความเศร้า
บางเวลาของชีวิตดูน่าเบื่อหน่าย
หลายช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะสุข เศร้า เบื่อ หรืออารมณ์ใดๆ
ล้วนแล้วมาประกอบกันเป็นหนึ่งชีวิตคน



ทุกเรื่องราวไม่ว่าร้ายหรือดี ก็กลายเป็นอดีตทุกช่วงวินาที
บางคนจดจำเรื่องไม่ดีของชีวิตแล้วเอามาย้ำเตือนเป็นบทเรียน
บางคนจดจำเรื่องดีๆแล้วมีความสุขกับอดีต
บางคนจดจำเรื่องไม่ดีของตัวเองแล้วเอามาซ้ำเติมชีวิต
บางคนจดจำเรื่องดีๆเพื่อจะสร้างเรื่องดีๆต่อไปในอนาคต

อดีตที่ไม่ดีคือบทเรียนของชีวิต
อดีตที่ดีคือบทเรียนของชีวิต
อดีตคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแก้ไขไม่ได้
ไม่ว่าจะร้ายหรือดี ก็คือบทเรียนในชีวิตเราทั้งนั้นแหละ
เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นจะสอนให้เรารู้ว่าควรจะกระทำแบบไหนในอนาคตที่จะไม่เจอเหตุการณ์ซ้ำ
เรื่องดีๆที่เกิดขึ้นจะสอนให้เรารู้ว่ากระทำแบบนี้แล้วเกิดสิ่งดีๆอะไรขึ้นบ้าง
เพื่อจะได้สร้างสรรคสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่อย่าได้คาดหวัง แค่ทำปัจจุบันให้ดีก็พอ

ความสุขความทุกข์เป็นของคู่โลก
มีสุขมีทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา คลุกเคล้ากันไป เป็นรสชาติของชีวิต
อย่ายึดติดกับสุขไม่งั้นจะทุกข์เมื่อความสุขหายไป
อย่าแบกทุกข์ทั้งโลกไม่งั้นจะทุกข์อยู่ทุกเรื่องหาทางออกไม่เจอ

ทุกชีวิตมีเรื่องราว ทุกชีวิตเกิดมาสร้างเรื่องราว
เรื่องราวที่สร้างจะจาลึกไว้บนพื้นโลกใบนี้ให้กับคนรุ่นต่อไปได้พูดถึง

สร้างสิ่งดีๆให้กับตัวเองและผู้คน
เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้สิ่งที่เป็น
แล้วเราจะเข้าใจชีวิตโลกมากขึ้น

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

เรื่องร้ายมักมีเรื่องดีเสมอ



น่าน เอาแล้วไงละ เดี๋ยวความเลิ่นเล่อ เผลอกด Run โปรแกรม
ทั้งๆที่ ยังไม่ได้ดูว่า ดาวโหลดอะไรมา  งานเข้าเลยทีเดียว
 


ไวรัสลงเครื่องเลย  ยังพอสติดีที่รู้ว่านี้คือไวรัส
เพราะที่Install มาลงแต่ละอัน มันไม่ใช่โปรแกรมที่เราต้องการ
ทั้งโปรแกรมเกมส์ ขึ้น Desktop ในหน้าจอ ผุดมา 3 ไฟส์

ตอนนั้นคิดได้ทันว่า เฮ้ย ซวยละ ไวรัส
สติมาทันที อินเตอร์เน็ต ต้องรีบตัดช่องทาง ไม่ให้ไวรัสเข้ามามากกว่านี้
ดึงสายแลนที่ต่อกับคอมออกทันที

แล้วเริ่มตั้งสติ ว่าจะทำไงดี หน้าจอก็เกิดอาการแฮงค์ๆ ชั่นขณะ
ใช่แว้วว  ลบโปรแกรม เข้าไปที่ Add or remove program 
แล้วนั่งไล่ลบ  บางอันลบได้ บางอันลบไม่ได้ แล้วก็รีสตาร์คอม
โปรแกรมไม่พึงประสงค์ออกไม่หมด  ฮ่าๆ  งานเข้าของจริงเลยทีนี้

ทำไงต่อหรอ คุณเพื่อนที่เราเคยช่วยให้คำปรึกษาเมื่อสัปดาห์ก่อน
เพิ่งไปเจอมา เป็นนักซ่อมคอมนิน่า อ่ะโทรขอความช่วยเหลือทันใด
แม้เพื่อนเราจะกำลังขับรถอยู่ ก็ยังมีน้ำใจบอกว่า เดี๋ยวเค้ากลับถึงบ้านแล้วจะรีบโ?รมา
มันต้องใช้หลายขั้นตอนเลย

หน้าจอตอนนั้น มีการฟ้อง เออเร่อ ของวินโดว์
แล้วก็เครื่องอืดมาก เช็ค Task Manager ก็CPU ใช้เต็ม 100 % เลย
ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ เดี๋ยวเมนบอร์ดเราจะพังสะก่อน

ระหว่างรอเพื่อนโทรมา ก็ช่วยเหลือตัวเองก่อน
นั่งไล่ลบไฟส์ที่เกิดช่วงเวลานั้น  ไล่ตามหายังกะเป็นนักสืบจับไวรัส
เช็คใน Task Manager อันไหนดูแปลกๆ กดดูที่มา
ถ้าไฟส์นั้นรันสร้างเวลาที่เกิดก็ กดให้หยุดทำงานแล้วก็ลบทิ้งสะ

ลบไฟส์ไป ก็ไม่รู้เผลอไปลบอะไรบ้างเน้อ
ในระหว่างนั้นก็ส่งภาพความเคลื่อนไหว ให้เพื่อนไปทางไลน์ตลอด เพื่อนจะได้รู้ว่าเกิดไรขึ้นแล้ว
พอเพื่อนถึงบ้าน ก็บอกอันนี้มันไม่ใช่ไวรัสนิ มันฟ้องว่าไฟส์วินโดว์มีปัญหา
แล้วก็Team View มาช่วยแก้ปัญหาให้  รู้สึกขอบคุณเพื่อนมาก
เพื่อนเสียเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ในการซ่อมไฟส์ที่เสียให้เรา แล้วก็ลบไฟ์โฟลเดอร์ที่ลบไม่ได้ให้
แต่มันเหลือ ป็อปอัฟ โฆษณา เวลาเปิดคอมแล้วดีดขึ้นมา
มันก็ดึกแล้วแหละ เพื่อนเราเลยบอกติดไว้ก่อนนะ 

ตอนนั้นงานเรายังไม่ได้แตะเลย รู้สึกไม่ปลอดภัย 
พยายามที่จะไม่เข้าอะไรที่ต้องใส่ยูเซอร์ พาสเวิร์ดเลย
รุ่งเช้า เราก็มางมเข็มต่อ ลุยเองเลย  แต่รู้สึกว่าเครื่องมันยังหน่วงอยู่
ก็ไปเจอไวรัส Log on.exe เข้า น่านไง เครื่องหนึ่ง ไฟส์นี้ต้องมีแค่ 1 อยู่แล้ว
เลยลบ เครื่องเบาลงทันที แต่ป็อปอัฟ ตอนเปิดคอมยังไม่หาย
เจ้าวายร้าย ที่นี้นั่งลบ IE ทิ้งเลย สรุปไม่หาย ไปผุดในจิ้งจอกแทน
น่านไง ฝังลงเครื่องละ  แล้วพอไปเปลี่ยนค่าใน Regedit  เฮ้ย มันหาย

แต่ยังรู้สึกว่าเครื่องยังมีอาการหน่วงอยู่ เหมือนออกไปไม่หมดแหะ
เลยลง IE เข้าไปใหม่ น่าน มันกลับมาอีกแล้ว  งมไป 4 ชม. ได้มั้ง เช้านี้
โอเค บางครั้งเราก็ต้องรู้จักขอความช่วยเหลือบ้างเน้อ

เลยทักถามคนที่ดูน่าจะซ่อมคอมเป็น  น้องเค้าตอบกลับมาว่า พี่ผมไม่เป็นเลย
แต่ผมรู้จักคนหนึ่ง เค้าทำเป็น ก็ให้คอนแท็คมา คือรู้สึกขอบคุณน้องมาก
แล้วพอจะไปคุยกับคนที่น้องเค้าส่งคอนแท็คมาให้
โลกมันกลมดีนะ  เค้าเป็นลูกศิษย์เราเอง  ก็ส่งข้อความไปแจ้งปัญหา
พอน้องเค้าอ่านไลน์เสร็จ โทรไลน์มาหาเราทันทีเลย  ขอบคุณมากเลย
ก็คุยกัน เล่าปัญหาที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ เค้าก็เลยบอกให้โหลดโปรแกรมสแกนไวรัสตัวหนึ่ง
ตอนนั้นก็บอกน้องเค้าไปว่า ขอลิงค์หน่อยสิ ตอนนี้กลัวละ ไม่กล้าโหลดมั่วเลย 555
น้องเค้าก็ใจดีมาก  ส่งลิงค์โปรแกรมมาให้เรา
แล้วยังบอกอีกว่า ถ้าอาการยังไม่หาย พี่ใหม่โทรหาผมได้เลยนะ

สรุปลงเสร็จปุ็บ ไวรัสเราโดนกำจัดเลย ก็่ส่งข้อความไปแจ้งผลและขอบคุณน้องเค้า
และสแกนไวรัสในเครื่องต่อ มาเต็มเลย ไวรัสหลายตัวเลย
ทั้ง แอดแวร์ มัลแวร์ โทรจัน เพิ่งรู้ว่าเครื่องเรามีไวรัสก็คร่าวนี้ละ
ยอมเสียเวลาปล่อยให้เครื่องมันสแกนไปเลย 

สิ่งที่ได้จากครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า อย่าเผลอกดรัน ถ้าไม่ได้เห็นข้อมูลก่อน
สติสำคัญที่สุด  ถามหาจากผู้เชี่ยวชาญ ดีกว่า นั่งงมเข็มเองให้เสียเวลา
มิตรภาพที่จริงใจ จะช่วยเหลือเราได้จริงๆ

ยังคงขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือเราในเหตุการณ์ครั้งนี้
และขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ทำให้เกิดเรื่องดีๆที่เราประทับใจ

ทุกเรื่องร้ายมักมีเรื่องดีเกิดขึ้นเสมอ 
The Bad Time will show up Best Thing

ขอบคุณทุกๆคนจริงๆ
บันทึกไว้เป็นเรื่องราวที่น่าจดจำ นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@


วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

วันสติฟุ้งๆ ของนักเดินทาง


จิตหยุดนิ่ง จิตรับฟังเสียงความคิด
เสียงที่ฟุ้งซ่านในหัวมันก็หายไปดื้อๆเอาสะเลย



แปลกใจในตัวเองครั้งนี้จังเลย
แต่ก็ได้ข้อสรุปหนึ่งว่า
ยิ่งนึกคิด ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งจินตนาการ
พอนั่งนิ่งๆ  มานั่งคิด จะสรุปความฟุ้งซ่าน
ความคิดฟุ้งซ่านที่วาดภาพในหัว และเสียงสะท้อน ก็พลันหายไป

แต่กลายเป็นคิดไม่ออก พอสั่งให้จิตมันคิด
เหมือนโดนตีและหยุดแบบงงๆ มึนๆ และสตั้น

แบบนี้คือควรเรียกมันว่าอะไรดี
พายุความคิดที่ถาโถม สงบลง อืมนั่นละ
น่าจะเป็น คำนิยามที่เข้าใจสำหรับตัวเราเองได้

จินตนาการ กับความฟุ้งซ่าน อยู่ใกล้เคียงกันมากเลย
แต่ทั้ง 2 อย่าง เกิดจากความนึกคิดของจิตทั้งคู่

รู้ให้ทันในความคิดเรา และ ดูให้ออกว่าจิตมันคิดอะไร
ดูว่าจะหยุดตอนไหน มองให้ทัน ไม่ต้องไปบังคับนะ
ปล่อยให้จิตมันคิดไหลไป แล้วนั่งดู เชื่อม่ะ อยู่ๆก็หยุดเองดื้อๆ
อาการเหมือนจิตอีกตัวเพ่งไปที่ความคิด
อธิบายไม่ถูกแหะ  แต่ลองดู 55

วันสติฟุ้งๆ ของนักเดินทาง
เดินต่อไปนักเดินทางตัวน้อยๆ ^^

@...Miiez...@

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สติกับปัญหา


เวลาเกิดปัญหา เชื่อไหมว่า เราสามารถเห็นสติและไหวพริบของคนได้เลยละ
คนส่วนใหญ่ มักจะพูดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว มากกว่าจะมองปัญหาตรงหน้าแล้วแก้ไข



ถามถึงอดีตที่พลาด และมั่วแต่นั่งโทษคนนั้นไปมา
แทนที่จะเอาเวลาในการหาว่าใครผิด สมองในการคิดย้อนกลับ
ทำไมถึงไม่ใช้เวลาเหล่านั้นมาหาวิธีว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไร

ในเมื่อปัญหาเกิดแล้ว หาคนผิดก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา
หาวิธีแก้ปัญหาให้เสร็จก่อน แล้วให้ทุกฝ่ายใจเย็นลง
ค่อยกลับมามองเหตุของปัญหา แล้วค่อยบล็อคปัญหาที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไปดีกว่า

การที่จะแก้ปัญหาตรงหน้าได้
ส่วนหนึ่งคือไม่สร้างปัญหาที่มีอยู่แล้วให้เพิ่มมากขึ้น
ฝ่ายที่ผิดก็รู้สึกกลัวในใจอยู่แล้ว ใจเป็นมด ยิ่งดุด่า อาจจะยิ่งเสียกำลังใจมากไปสะเปล่าๆ

ไม่ว่าปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
จะให้เป็นฝ่ายคนทำ เป็นฝ่ายผิดคนเดียวก็คงไม่ใช่
เพราะการทำงานร่วมกัน คือการรับผิดชอบร่วมกัน
สิ่งที่พลาดของคนมอบหมาย คือการไม่ตรวจสอบงาน
พอผิดพลาดขึ้นมา ก็ไม่สามารถที่จะบอกว่า ฝ่ายคนทำเป็นฝ่ายผิดฝ่ายเดียว จริงไหม
รับผิดชอบและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไปร่วมกัน และกันปัญหาในอนาคตดีกว่า

การทำงานทุกอย่างมักมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แล้วละ
ถ้าไม่พบปัญหานี่สิแปลกน่าดูเลยละ 
โลกของการทำงาน ก็แค่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกๆครั้ง
ยิ่งเราแก้ปัญหาที่ยากได้มากขึ้นเท่าไหร่  เราก็มีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น

อย่ากลัวที่จะเจอกับปัญหา แต่จงกล้าที่จะเผชิญปัญหาอย่างมีสติ
ทุกเส้นทางเดินคือบทเรียนในชีวิต
ทุกปัญหาที่เจอคือบททดสอบที่จะก้าวไปอีกเสต็ป

ทุกย่างก้าวของชีวิตคือการเรียนรู้
การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สวัสดียามเช้า


อากาศยามเช้าน่าภิรมย์เสมอ
เวลาตื่นเช้า ก็ไม่ลืมที่จะเดินออกไปสูดอากาศนอกบ้าน
หยาดน้ำค้างที่คงเหลืออยู่ยามเช้า
ลมหนาวเริ่มพัดโชยมาสัมผัสกาย
ความรู้สึกช่างดีเหลือเกิน

ถ้าตื่นสายคงไม่ได้สัมผัสแบบนี้


ตื่นเช้าเวลาในชีวิตแต่ละวัน ดูเยอะขึ้นทุกที
มีเวลาให้สมองได้ รีเล็ค กับช่วงเวลาตรงหน้ามากขึ้น
ไม่ใช่การนอนพักนะ แต่เป็นการชิมลางเวลาตรงหน้าแบบไม่ต้องประวิงเวลา
ที่ให้ตัวเองได้สร้างประสบการณ์ในแต่ละวันยามเช้ามากขึ้น

ลองตื่นเช้าดูสิ แล้วคุณจะรู้สึกได้ว่า เวลาในชีวิตมีมากขึ้นจริงๆ 
นั่งสมาธิ ออกกำลังกายยามเช้า รู้สึกโครตดี ก่อนจะเริ่มงาน
บาล้านซ์ชีวิต จัดสรรเวลาให้ดี  แล้วจะยิ้มให้กับทุกช่วงของชีวิต

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เปิดโลกการเดินทาง

ทุกการเดินทาง เราได้เห็นมุมมองสิ่งใหม่ๆ อารยธรรม วัฒนธรรม
การใช้ชีวิต  วิถีชีวิตในแต่ละที่ สิ่งปลูกสร้างที่แตกต่าง
ความคิด และทัศนคติของผู้คน

บางครั้งเราก็อาจจะไม่ชอบใจนัก กับบางที่ที่เดินทางไป
แต่เชื่อเถอะว่า ทุกที่ๆเดินทาง มักมีเรื่องให้คุณได้ประทับใจเสมอ



อย่างการเดินทางครั้งล่าสุดที่ไป สิงคโปร์ 
ก่อนไปประเทศนี้ ก็มองดูว่าเป็นประเทศที่ไม่มีอะไรเท่าไหร่นัก
หลังไปกลับมาก็บอกว่าเป็นประเทศที่ไม่มีอะไร
แต่เราได้มุมมองและทัศนคติของสิงคโปร์มากขึ้น

สิงคโปร์ในมุมมองของเรา เป็นประเทศเล็กๆ แต่ช่างดูมีระเบียบสะอาด
เวลาไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน สิ่งที่เราจะสังเกตได้คือ คนเยอะยังเงียบ
และเป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่  คล้ายๆกับมาเลย์เซีย
อาหารที่นี้ค่อนข้างราคาสูง  โดยส่วนตัว  ชอบของหวานที่นี้มากกว่าของคาว

สถานที่ท่องเที่ยวที่นี้ แทบทุกที่ จะรู้ได้เลยว่า
ทุกอย่างคือการประดิษฐ์และสรรคสร้างขึ้นมาจากคนทั้งหมด
คอนเซ็ปน์ที่เราตั้งให้คือ ใช้พื้นที่ที่มีอย่างจำกัด ให้เกิดประโยชน์ที่สุด
และยังสามารถสร้างทุกพื้นที่ ให้มีพื้นที่ส่วนตัวได้อีก

ที่ประทับใจที่สุดของที่นี้ก็คงจะเป็น Garden by the bay
การได้นอนดูดอกไม้มีแสงสี พร้อมเสียงเพลง มันช่างน่าภิรมย์จริงๆเลยเชียวละ
ไปดูไฟมาหลายที่  แต่รู้สึกชอบที่นี้มาก เพราะได้นอนดูใต้ต้นไม้เลย
ต้องชื่นชมสิงคโปร์ ที่เวลาเค้าออกแบบ สรรสร้างที่หนึ่ง
เค้าจะมีการมองถึงการใช้งานด้วย  ไม่ว่าจะที่นั่งพัก
จะเห็นได้เลยว่า ที่นี้มีที่นั่งพักเยอะมาก  เวลาเดินททางนี้ เมื่อยๆ หาที่นั่งพักได้ตลอดเลยละ



เมืองนี้ยังให้ความสำคัญกับคนสูงอายุและคนพิการอย่างมากด้วย
เวลาเราขึ้นรถไฟฟ้า จะมีที่นั่งพิเศษ ที่แยกสำหรับคนท้อง คนแก่ คนพิการให้เลย
แล้วคนบ้านเค้าก็จะเว้นที่ไว้ ไม่นั่งนะ ต่อให้ไม่มีที่นั่ง เค้าก็จะยืนกัน
เห็นได้ถึงความเป็นระเบียบ และการปลูกจิตสำนึกลงไปนะ

เสียดายที่สิงคโปร์ อากาศร้อน ไม่ได้หนาวเย็น
อากาศคล้ายๆกับบ้านเราเลย  แต่ออกจะร้อนกว่าด้วยซ้ำนะ
ใครชอบอากาศแบบหนาวเย็น สไตส์เกาหลี คงจะไม่ชอบที่นี้ละ


ยิ่งเราได้เห็นโลกมากขึ้น เราจะเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น
ความงามมีซ่อนอยู่ ขึ้นอยู่ว่าเราจะมองสิ่งเหล่านั้นในมุมไหน
ที่ที่หนึ่ง มุมมองของแต่ละคนก็ต่างกัน
อาจจะด้วย สิ่งเดิม ประสบการณ์เก่าที่เคยผ่านพบมา
ทำให้มุมมองในแต่ละที่แตกต่างกัน ในแต่ละคน

ทุกการเดินทาง คือทุกการเรียนรู้
แค่เปิดใจมองสิ่งใหม่ๆ เราจะเห็นความงามและความหมายของแต่ละสิ่งที่ซ่อนอยู่
เดินทางเก็บประสบการณ์ต่อไป ด้วยใจเรียนรู้
แล้วเราจะพบความหมายของการเดินทางแต่ละที่มากขึ้นเรื่อยๆ
 เดินต่อไป ..... นักเดินทางตัวน้อยๆ ^^

@...Miiez...@


เอาชนะใจตน


เวลาที่เราทำงานหรือทำอะไรจริงจังสักอย่าง
เชื่อไหมว่า มารในใจเกิดขึ้นมาเสมอ 



กิเลสต่างๆที่ล่อลวงใจเราให้อยากทำอย่างอื่นมากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ไม่ว่าจะอยากกินขนมแสนอร่อยจังเลย
อยากดูหนัง ดูซีรี่ย์สักเรื่องหนึ่ง
อยากคุยแชท เล่นเฟสบุ๊ค ให้เพลิดเพลินใจ
อยากเล่นเกมส์ให้ผ่อนคลายสมองจังเลย
อยากอะไรอีกมากมาย..... ตามแต่กิเลสจะพาไป ในขณะทำงาน

ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเกิดแพ้ใจตัวเองบ่อยๆ
คุณก็จะกลายเป็นคนที่ไร้ระเบียบวินัยในตัวเอง
แล้วสิ่งที่จะเกิดต่อมา นั่นคือการสะสมนิสัยของตัวเองเพิ่มขึ้น

ที่จะทำงานได้ไม่ถึงไหน ก็ปล่อยใจไปตามกิเลส
แล้วงานก็ไม่คืบหน้า

ไม่จำเป็นต้องบีบเวลาตัวเองให้ทำงาน
แต่แค่คิดว่าวันนี้จะทำอะไร ช่วงไหน แบ่งเวลาให้ดี
ยามพักผ่อน เพลิดเพลิน ก็พักผ่อนให้เต็มที่
ยามทำงาน ก็ตั้งใจทำด้วยความมุ่งมั่น และมานะ
ทำซ้ำๆ ให้ติดเป็นนิสัย

แล้วคุณจะเป็นคนที่แบ่งเวลาเป็น บาล้านซ์ได้
งานเดินหน้า จัดสรรเวลาให้ลงตัว
แล้วชีวิตคุณ จะมีเวลาทำอะไรได้อีกเยอะเลยเชียวละ

@...Miiez...@

วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คุณเกิดมาบนโลกใบนี้ทำไม


คุณเคยถามตัวเองไหมว่า " คุณเกิดมาบนโลกใบนี้ทำไม "



เราเคยถามตัวเองและหาคำตอบนี้ด้วยความคิดของเราเองว่า

คนเราเกิดมาพร้อมกับบุญและกรรม
หากใครเกิดในครอบครัวที่ยากจน อาจจะมีความรู้สึกนึกคิดว่า
ทำไม ฉันไม่เกิดเป็นคนรวยแบบคนอื่น
หรือหากใครเกิดในครอบครัวที่มัปัญหาแวดล้อมในชีวิตมากมาย
ก็อาจจะเกิดคำถามกับตัวเองว่า ทำไมฉันไม่เกิดในครอบครัวที่ดีกว่านี้

บางคนอาจจะบอกว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้

ตามจริงแล้วเส้นทางที่เราเกิดมา ก็เกิดจากบุญกรรมเก่าที่เราทำในอดีตชาติที่เราสร้างสมมานั่นแล
เราสร้างกรรมเวรกับใครมาไว้ในชาติก่อนเราก็มักจะได้รับกลับ
เราเคยสร้างบุญมาไว้มากในภพก่อน ภพนี้เราก็ได้รับสิ่งที่ทำจากชาติก่อนนั้นเอง
อย่ามั่วแต่น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง
แต่จงสร้างชะตาชีวิตของตัวเองด้วยตัวเราดีกว่า

ในภพนี้ชาตินี้ ที่เราเกิดมา เราเลือกเกิดได้ใหม่ในทุกๆวัน
เราเลือกจะสร้างกรรมในแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
เราเลือกจะผูกกรรมกับใคร ก็ขึ้นอยู่กับเราเอง
เราเลือกได้ว่าเราจะสร้างสุขหรือทุกข์ให้กับคนอื่น
เราเลือกได้ว่าจะสร้างสุขหรือทุกข์ให้กับตัวเอง
เราเลือกได้ว่าจะทำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี

ทุกอย่างเราเลือกได้ด้วยตัวเราเองในทุกๆเรื่องและทุกๆวัน
เราเลือกเกิดใหม่ได้ในทุกๆวัน
วันนี้เราอาจจะเผลอทำสิ่งที่ไม่ดี  แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เรายังสามารถสร้างสิ่งดีๆในเรื่องใหม่ได้เสมอ
เราไม่สามารถเดินกลับไปแก้ไขอดีตได้
แต่เราสามารถที่จะสร้างอนาคตจากปัจจุบันได้

เรื่องราวไม่ดีเก็บไว้เป็นบทเรียนเตือนใจ
เรื่องราวดีๆ เก็บไว้เป็นความภูมิใจเล็กๆ

แล้วเดินต่อไปอย่างระวัง กาย วาจา ใจ ของตนเอง
จงมีสติที่จะพิจารณาความคิดให้ทัน
เพราะความคิดของเรามักก่อให้เกิดการกระทำ

ฝึกที่จะรู้ทันจิตของเราเอง และฝึกที่จะหยุดความคิดที่ไม่ดี
เมื่อไหร่ที่เราคิดไม่ดี โลกก็จะเริ่มมืดมน
เมื่อไหร่ที่เราคิดดี โลกก็จะบวกและสดใส ยิ้มให้กับเรา

จงรู้จักหยุดทุกการกระทำ ที่ทำให้เกิดเรื่องไม่ดีกับคนอื่น
พูดแล้วไม่มีใครได้อะไร พูดทำไม นั่นคือพูดเพ้อเจ้อใช่ไหม
พูดแล้วอาจจะไปกระทบกับคนอื่น พูดทำไม นั่นคือการพูดส่อเสียด นินทา ว่าร้ายใช่ไหม
เมื่อไหร่ที่เราพูดถึงคนอื่นไม่ดี เรากำลังไม่ให้เกียรติตัวเราเองอยู่
เมื่อไหร่ที่เราพูดเพ้อเจ้อ เรากำลังพูดเรื่อยเปื่อยอยู่
ถ้าเราหลงไหลในการพูดแบบไหน นั่นก็จะติดเป็นนิสัยให้เรากลายเป็นคนพูดแบบนั้น

เราไม่ชอบการกระทำแบบไหน เราก็ไม่ควรกระทำแบบนั้นให้คนอื่น
เราชอบการกระทำแบบไหน ก็ควรที่ดูว่าคนอื่นชอบการกระทำแบบที่เราชอบหรือไม่

คนเราเกิดมาต่างคน ต่างความคิด ต่างการควบคุม
ไม่ต้องสนใจที่ความคิดใครอื่น เพราะเราไม่สามารถบังคับความคิดคนอื่นได้
แต่จงใส่ใจความคิดของตน ระวังจิตเราให้ดี ที่จะไม่พลาดไปสร้างประสบการณ์ไม่ดีกับใครก็พอแล้ว

อดีตที่ผ่าน คือประสบการณ์ที่เราพบเจอ
อนาคตที่คาดหวัง คือสิ่งที่เราอยากจะเป็น
อย่าปล่อยให้เรื่องอดีตต้องมาทำร้ายปัจจุบัน
อย่าปล่อยให้เรื่องอนาคตต้องมาทำร้ายปัจจุบัน
จงใช้อดีตเป็นบทเรียนสอนสั่ง
จงใช้อนาคตเป็นแรงผลักดัน
และจงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ทำให้ดีที่สุด ในจุดที่ยืนก็พอแล้ว
อนาคตจะดีได้ ก็เริ่มจากการลงมือทำในปัจจุบัน
อยากมีอนาคตแบบไหน ก็แค่เริ่มสร้างในวันนี้
ชีวิตเป็นของคุณ คุณออกแบบชีวิตคุณเองได้
อยากให้ชีวิตเป็นแบบไหน คุณเลือกได้
เป็นกำลังใจให้กับทุกคน....เดินต่อไป

@...Miiez...@

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กระวนกระวายใจ


คุณเคยกระวนกระวายใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือไม่



ความรู้สึกกระวนกระวายใจ มันเป็นความรู้สึก ร้อนลุ่ม มันสุ่มอยู่ในอก
คิดวิตกกังวลในเรื่องต่างๆมากมาย
แม้บางเรื่องยังไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ จิตใจก็มีความเป็นกังวลไปสะแล้ว

คุณรู้หรือไม่ เวลาที่ จิตใจกระวนกระวายนั่น คือช่วงเวลาหนึ่งที่เราไม่มีสติครบสมบูรณ์

เราคิดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ไม่ควรไปกังวลกับสิ่งที่มาไม่ถึง
แต่จงมีสติและรับมือกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ไไม่ควรไปกังวลมากนัก

เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าจิตตัวเองไม่ปกติ
สิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือการตั้งสติ

ทำให้จิตใจนิ่งและกลับมาเป็นตัวเองให้ได้ ให้จิตเราอยู่กับปัจจุบัน

บางคนสงสัยว่า การตั้งสตินี้ เราจะต้องอยู่นิ่งๆใช่ไหม
ตามจริงแล้ว การตั้งสติของคนอาจจะใช้วิธีแตกต่างกันก็ได้
บางคนอยู่นิ่งๆๆ ท่องพุธโธ ก็กลับมา
บางคนอาจจะต้องทำให้ร่างกายตื่นตัวบ้าง อย่างเช่น ออกกำลังกายเล็กๆน้อย ให้กระตุ้นหัวใจ
กระตุ้นการทำงานของร่างกาย จะได้มีสติ
บางคนก็นับเลขเอา
บางคนก็เพ่งจิต
บางคนก็เขียนหนังสือ

ใครถนัดอะไร แบบไหน ก็ทำไป แค่ให้จิตกับมาอยู่กับปัจจุบันก็พอ

คาดการณ์อนาคตได้ แต่อย่ากังวล เตรียมพร้อมรับมือก็พอ

@...Miiez...@

วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560

จงศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง


จงศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง



คุณเคยไม่มั่นใจในตัวเองไหม ว่าสิ่งที่คุณทำจะดีหรือไม่
คุณเคยไม่มั่นใจในตัวเองไหม  ว่าสิ่งที่คุณพูดจะดีหรือไม่
คุณเคยไม่มั่นใจในตัวเองไหม  ว่าสิ่งที่คุณคิดจะดีหรือไม่

ถ้าพื้นหลักที่คุณทำ มันไม่ได้ทำร้ายใคร
สิ่งที่คุณคิด เกิดจากการเริ่มต้นที่จะให้
เริ่มที่จะสร้างสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นและตัวคุณเอง
ก็จงเชื่อในตัวคุณเอง

สิ่งแรกที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเองได้
เริ่มจากการประเมินในสิ่งที่เรากำลังจะทำในแต่ละอย่าง

ยกตัวอย่างเช่น
คุณกำลังจะทำธุรกิจตัวหนึ่งขึ้นมา
ผู้รับผลประโยชน์จากการทำธุรกิจของคุณคือใครบ้าง
ลูกค้าของคุณ ที่จะได้รับบริการและสินค้าของคุณ
ตัวคุณ ที่ได้เห็นลูกค้าได้ใช้บริการหรือสินค้าของคุณ
หลังจากคุณเชื่อในสิ่งที่คุณกำลังจะทำว่าดี

สิ่งต่อมาที่จะทำให้คุณมั่นใจมากขึ้นคือ ข้อมูลและความรู้
คุณต้องรู้ว่า คุณกำลังขาดอะไรจากการทำสิ่งนี้ ก็เติมข้อมูลและความรู้ส่วนนั้นให้แน่น
ไม่ว่าจะจากการอ่าน ศึกษาสินค้า เพื่อให้คุณได้รู้จริงในสินค้าของคุณเอง
เวลาลูกค้าถามคำถามอะไร คุณมีข้อมูลที่ตอบได้หมดได้

หลังจากนั้น ก็คือการลงมือทำและเชื่อ ศรัทธาในตัวคุณเองให้ได้
เรียนรู้ทุกอย่างจากความผิดพลาด
ผิดคือครูที่ทำให้เราแกร่งขึ้น
ล้มเหลวคือหนทางไปสู่ความสำเร็จในภายภาคหน้า

อย่ากลัวที่จะล้ม แต่ต้องกล้าที่ยืนขึ้นอีกครั้งในวันที่คุณล้ม
ศรัทธาในตัวคุณเองให้ได้  เพราะคนที่อยู่กับคุณตลอดทุกที่ ทุกเวลา คือตัวคุณเอง
สู้ๆ นักเดินทางทุกคน

@...Miiez...@




วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560

20 ข้อคิดจากขุนเขา


เป็นบทความที่อ่านแล้วชอบมาก 

20 ข้อคิดจากขุนเขา: ด้านธรรมะ



1. ในแต่ละปี...
จงทำชีวิตให้ "ดีขึ้น"
เพราะในแต่ละวัน...
ชีวิตเรากำลัง "สั้นลง"

2. การ "อยู่กับปัจจุบัน"
ไม่ใช่การ "หยุดทำ" ในเรื่องสำคัญ
แต่มันคือการ "หยุดทุกข์" ไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ

3. อารมณ์ "ลบ" ทุกชนิด จะทำร้ายเรา
ก่อนที่จะทำร้ายคนอื่นเสมอ...
ส่วนอารมณ์ "บวก" ทุกชนิด จะให้พรเรา
ก่อนที่จะให้พรคนอื่นเสมอ เช่นกัน...

4. วิจารณ์คนอื่นทุกวัน... ใจต่ำลงทุกวัน
วิจัยตัวเองทุกวัน... ใจสูงขึ้นทุกวัน

5. ถ้าไม่มีคนมาทำให้คุณโกรธ
...คุณจะไม่รู้เลยว่าระดับจิตคุณอยู่ตรงไหน
ถ้าไม่มีใครมาทำให้คุณทุกข์ใจ
...คุณจะไม่รู้เลยว่าตัวเองยังมีอะไรต้องพัฒนา

6. ไม่ว่า "ภายนอก" เราจะอยู่กับคนมากแค่ไหน
แต่ "ภายใน" เรายังอยู่ตัวคนเดียวเสมอ
จงหาวิธี "รักตัวเอง" ให้เจอ
เพราะไม่มีใครในโลกนี้ที่จะอยู่กับเธอ
สม่ำเสมอเท่ากับ "ตัวเธอเอง"

7. การฝึกจิตและพัฒนาตัวเอง
อาจไม่ได้ทำให้เรา "พ้นทุกข์ตลอดกาล"
แต่มันจะทำให้เรา "เป็นทุกข์นานน้อยลง"

8. การ "แก้กรรม" ที่ดีที่สุด
คือการแก้ไข "ความคิด" "คำพูด"
และ "การกระทำ" ของตัวเอง

9. ความดีเล็กๆ ที่ทำไปนานๆ
สุดท้ายอาจสร้าง "ปาฏิหาริย์" ให้ชีวิต

10. "ไป" ได้เร็วแค่ไหน
ก็ถึงเร็วเท่านั้น...
"ปล่อย" ได้เร็วแค่ไหน
ก็สุขเร็วเท่านั้น

11. จำไว้ว่า "ความทุกข์" และ "ความเจ็บปวด" ทั้งมวล
ไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา... เพื่อมอบ "คำสาป"
แต่มันผ่านเข้ามาในชีวิตเรา... เพื่อมอบ "คำสอน"

12. ก้าวแรกของการใช้ชีวิตอย่าง "ผู้ตื่น"
คือการหยุดยุ่งวุ่นวายเรื่อง "คนอื่น"
แล้วหันกลับมาวิเคราะห์ใจ "ตัวเอง"

13. ความทุกข์ทั้งหมดในชีวิต ไม่ได้เกิดจาก
"สิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณ"
แต่มันเกิดจาก
"สิ่งที่คุณคิด ว่าคนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณ"

14. ต้องขอบคุณคนที่ทำ "ไม่ดี"
ที่ช่วยเป็นตัวอย่างที่ "ดี"
ว่าอะไร "ไม่ควรทำ"

15. ไม่ว่าจะทุกข์หนักหนาสาหัสสักแค่ไหน
ทางออกก็ไม่เคยอยู่ไกล
ไปกว่า "ใจ" ของเราเอง...

16. เกลียดเขา “เราทุกข์”
เมตตาเขา “เราสุขเอง”

17. คนเราฝึกเดินจนเก่งได้ ฉันใด
ก็สามารถฝึกใจจนเป็นสุขได้ ฉันนั้น...

18. "ความตาย" เป็นเรื่องธรรมดา
แต่การได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า
เป็นเรื่อง "อัศจรรย์"

19. โปรดสังเกตดูให้ดี...
ว่าสิ่งที่ทำให้เราทุกข์
บ่อยที่สุดในแต่ละวัน
ไม่ใช่ “พฤติกรรม” ของคนอื่น
แต่คือ “ความคิด” ของเราเอง

20. อย่าถือโทษ โกรธคน ไม่คู่ควร
อย่าตีตรวน ตนไว้ กับอดีต
ชะตาเรา อย่าให้ใคร มาเขียนขีด
อย่าเอาคำ ที่เหมือนมีด มากรีดใจ

(แถมให้อีกหนึ่งอัน!)

21. หากคุณคิดว่าตัวเองมีค่า เพราะมี "เงิน"
วันไหนเงินหมด คุณค่าคุณก็หมด
หากคุณคิดว่าตัวเองมีค่า เพราะ "หน้าตา" ดี
วันไหนคุณแก่ลงจนหน้าตาไม่ดี คุณค่าคุณก็หมด
แต่ตราบใดที่คุณรู้ว่าตัวเองมีค่า เพราะเป็น "คนดี"
ตราบใดที่คุณยังมีความดี คุณก็จะ "มีคุณค่า" ได้
ตลอดไป...

-ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร-

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Road Map of Life


คุณเคยค้นพบอะไรสักอย่างไหม

แล้วรู้สึกว่าตื่นเต้นกับความคิดตัวเอง

นั่นเพราะเรากำลังหลงไหลในสิ่งที่เราคิดได้อยู่



เรากำลังมีความสุขและตื่นเต้นกับสิ่งนั่น
อย่าปล่อยให้ความคิดที่เราตื่นเต้นหลงไหล
หมดไปกับความคิด

แต่จงนำความคิดเหล่านั้นมาสู่กระบวนการลงมือทำ
เพื่อพิสูจน์ในความคิดเรา ว่าผลจะออกมาได้แบบที่คิดหรือเปล่า
นั่นคือการทดสอบความคิดเรา

ทฤษฏีที่ไม่มีการปฏิบัติ ต่อให้เจ๋งแค่ไหน ก็เป็นได้แค่ทฤษฏี
แต่ถ้านำทฤษฎีที่เจ๋ง มาปฏิบัติและทำให้สำเร็จ
นั่นละ คือผลงานที่เจ๋ง ที่มันสร้างขึ้นจากทฤษฎีและได้การพิสูจน์ว่า ทฤษฎีอันนี้ใช้ได้จริง

อย่าปล่อยให้ทฤษฎีที่คุณคิดค้น เป็นเพืยงแค่ทฤษฎีละ
พิสูจน์มันดูสิ ด้วยการลงมือทำ อย่างคนที่หลงไหล
แล้วคุณจะรู้สึกค้นพบความตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิม

ต่อยอดจากสิ่งที่คิดค้นได้ ด้วยการพัฒนาต่อ จากทฤษฎีที่ลงมือทำแล้ว
คุณอาจจะพบทฤษฎีใหม่ ที่เป็น ทฤษฎีที่แท้จริงก็ได้

ไม่ต้องมากมาย คิด ลงมือทำ วิเคราะห์ คิด ลงมือทำ
สรุปแล้ว แค่คิด ลงมือทำ และพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
แค่นั้นเองแหละ....Road Map of Life

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@


วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

ความสุขจากการมอบรอยยิ้มให้ผู้คน


ความสุขจากการมอบรอยยิ้มให้ผู้คน
ความสุขจากการได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้ผู้คน



ไม่ต้องมาก ไม่ต้องมาย
แต่แค่รู้ว่าสุขใจที่ได้ทำ คุณก็ยิ้มแบบมีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นแล้วละ

เป็นความสุขที่คุณได้มอบให้ผู้คนมากมาย
โดยไม่รู้ตัว  โลกจะบวกในความคิดคุณเสมอ ถ้าคุณสดใส
และโลกก็จะมืดมนในความคิดคุณเสมอ ถ้าคุณดูเศร้าหมองที่จิตใจ

ความสุขความทุกข์ ความรู้สึกดีๆ
ล้วนแล้วเกิดขึ้นที่ใจ สิ่งที่ดีๆ ที่คุณได้ทำ ได้สร้างสรรค์ออกมา
โดยไม่ได้หวังอะไรตอบกลับมาเลย
มันมีความสุขดีจังแหะ

ไม่ต้องเชื่อเรานะ แต่อยากให้ลองทำกันดู
ทำอะไร ให้คนอื่น แบบไม่ต้องคิดไรมาก
ใช้ใจในการทำ คุณก็มีความสุขแล้ว
แต่พอเห็นสิ่งที่คุณให้ ดูมีประโยชน์กับคนอื่น
เห็นคนเค้ามีรอยยิ้ม มีความสุข คุณกลับสุขทวีคูณ

นี่ละคือความสุข รอยยิ้ม มิตรภาพ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ที่ก่อสร้างมา โดยเริ่มจากตัวคุณเองละ

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

อย่าเชื่อ ถ้าคุณยังไม่ได้ลองลงมือทำ


อย่าเชื่อ แค่คนอื่นบอกว่าดี
อย่าเชื่อ แค่คนอื่นบอกว่าไม่ดี
อย่าเชื่อ ถ้าคุณยังไม่ได้ลองลงมือทำ



สิ่งที่ใครหลายคนบอก คือเส้นทางเดินของเค้า
ไม่ใช่ว่าจะไม่ควรฟังเลย  ฟังได้ แต่ก็ต้องรู้จักนำมาประยุกต์
เพื่อให้เป็นทางเดินของเรา
It's Your way not  them way

บางคนฟังมาก แต่ไม่ลงมือทำ
บางคนเห็นคนอื่นมีดีไปหมด  จนลืมสิ่งที่ตัวเองมี
บางคนหลงในความสำเร็จคนอื่น  จนลืมสร้างความสำเร็จตัวเอง
บางคนอยากรู้ไปทุกเรื่อง  จนทำไม่ได้ดีเลยสักเรื่อง

บางทีคนเราก็ หลงลืมตัวเอง
เผลอลืม กลับมาโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะมั่วแต่โฟกัสเส้นทางคนอื่น

จะกระทำสิ่งใดก็ตามแต่ จงมีสติ รู้เท่าทันตน
ใจเป็นตัวสั่งการ  กายเป็นตัวกระทำตาม


อย่าปล่อยให้ชีวี หลงไปตามโลกีย์
สร้างชีวีมีสุขดี  ตามครรลองฉบับตน

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

การวิเคราะห์


สิ่งที่สำคัญไม่ต่างจากการลงมือทำเลย นั่นก็คือ การวิเคราะห์


เพราะเวลาเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่น บางครั้งเราลงมือทำอย่างเดียว
อาจทำให้เราพลาดอะไรบางสิ่งก็ได้นะ

แต่ถ้าเรารู้จักลงมือทำ แล้วก็รู้จักวิเคราะห์ในสิ่งที่เราทำต่อนั้น
คล้ายๆกับการประเมินการทำงานของเรานั่นแหละ
แล้วมาหาจุดเทียบในสิ่งที่เราทำ ว่าทำอย่างนี้ได้ผลลัพท์แบบไหน
ทำอย่างนั้นได้ผลลัพท์แบบไหน เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

แต่อย่าให้การวิเคราะห์ ประเมินของเรา เข้าข้างตัวเองเชียวนะ
เพราะถ้าผลการวิเคราะห์เข้าข้างตัวเอง ก็ไม่ต่างจากคนน้ำเต็มแก้ว
และอาจจะทำให้การประเมินผลผิดพลาดได้ 


สิ่งที่สามารถตอบคุณได้ดีที่สุดว่าผลที่คุณวิเคราะห์ไปทางที่ถูกต้องหรือไม่คือ
ผลลัพท์ในการลงมือทำหลังจากการวิเคราะห์นั่นเอง

ลงมือทำ วิเคราะห์ วางแผนรอบใหม่ ลงมือทำ วิเคราะห์ วางแผนรอบใหม่ ลงมือทำ
วนลูปอยู่แบบนี้แหละ ในการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง

เพราะนั่นคือการต่อยอดและเรียนรู้ พัฒนาไปเรื่อยๆ
ในเส้นทางที่เราเดิน แต่ถ้าตราบใด เราหยุดการพัฒนา เรียนรู้ ปรับตัว
ก็คล้ายๆกับว่า เรากำลังเดินถอยหลังลงนั่นเอง

ลงมือทำ พร้อมกับการพัฒนาและเรียนรู้ต่อไปทุกย่างก้าว
เดินไปเรื่อยๆ อย่าหยุด เดี๋ยวสักวันก็ถึงเป้าที่คุณวางนั่นแหละ

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ
@...Miiez...@

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

คิดแบบไหนได้แบบนั้น


คิดแบบไหนได้แบบนั้น



คล้ายๆเหมือนเราวางโมเดลไว้ในหัวเรานะ
เคยไหมละ ที่เราเห็นงานอย่างหนึ่ง กองอยู่ตรงหน้า

แล้วเราก็บอกกับตัวเองว่า เยอะขนาดนี้ วันนี้ทำไม่เสร็จหรอก
งานชิ้นนั้นก็จะไม่เสร็จ ตามที่คุณวาง

แต่ถ้าเราเปลี่ยนการวางโมเดลในหัวใหม่ว่า ฉันจะทำงานนี้ให้เสร็จในวันนี้
คุณจะสามารถหา ทุกวิถีทางให้งานชิ้นนั้นเสร็จในวันได้
แล้วจะเสร็จได้อย่างน่าอัศจรยย์ใจเลยละ

เพราะเวลาคุณบีบตัวเอง
คุณก็ต้องมีควมอยากที่จะเอาชนะใจตัวเอง และพิสูจน์ความสามารถในตัวคุณ
มันเป็นหนึ่งสิ่งในความท้าทาย

แต่ถ้าความท้าทายในชีวิตหายไป
ก็แค่สร้างความท้าทายให้กับใจของคุณเท่านั้นเอง

อย่าลืมว่า เมื่อทำสำเร็จในเรื่องหนึ่ง อย่าลืมที่จะให้รางวัลตัวเอง
ถึงแม้ว่าความภูมิใจเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เรารู้สึกดี 
แต่รางวัลที่สร้างกำลังใจให้กับทางเดินเรา
จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า คุณค่าและเหตุผลในการมีชีวิต และก้าวเดิน

ความสำเร็จเริ่มต้นได้ง่ายๆ
แค่ทำสิ่งเล็กๆให้สำเร็จได้ในทุกๆวัน
แล้วจะกลายเป็นนิสัย ที่ติดตัวเราที่จะทำทุกสิ่งให้สำเร็จ ถ้าลงมือทำแล้ว

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ ^^
@...Miiez...@

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

คุณเติมสมองกับเรื่องอะไร


ในหนึ่งวัน คุณเติมสมองกับเรื่องอะไร
เชื่อไหมว่า สมองอันน้อยๆของเรา ใส่เรื่องราวได้มากมาย
ประมวลได้มากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับรอยหยักในสมอง



คำว่ารอยหยักในสมอง หลายคนอาจจะตีความว่าความฉลาด
แต่แท้จริงแล้ว คือ การทำหน้าที่ให้สมองเราฝึกการคิด วิเคราะห์ พิจารณา ตามข้อมูล
เหมือนได้ใช้งาน และกระตุ้น รอยหยักในสมองเรา
การอ่านหนังสืออย่างเดียว ถ้าเราไม่คิดตามที่อ่าน หรือประมวลผลต่อ
ก็เปรียบเหมือนกับการอ่านผ่านตา เติมข้อมูลลงไป
ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเป็นเรื่องลบหรือบวก แต่ก็ถูกใส่ลงไปในข้อมูลไว้แล้ว

ข้อมูลเหล่านั้น จะมีการนำไปใช้หรือไป ก็ดูว่า
เราได้ใส่กระบวนการผลิตต่อไปแบบไหน
จะให้ข้อมูลไหนเป็นเรื่องรู้และปล่อยผ่าน และข้อมูลไหนนำมาวิเคราะห์และเพิ่มให้สมองต่อ
เราเลือกได้ว่า เราจะให้สารไหนเข้ามาเป็นหนึ่งในเรื่องที่เราใช้

วันหนึ่งเรารับสาร รับข้อมูลเข้ามามากมาย ทิ้งข้อมูลไปก็เยอะ   
ในเรื่องของข้อมูลไม่ใช่แค่การอ่าน แต่เป็นทุกด้านที่คุณรับเข้ามา
ตามประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคุณเลยละ
บางเรื่องควรทิ้งข้อมูลเหล่านั้นลงบ้าง
บางเรื่องก็ควรเอาข้อมูลเหล่านั้นมาปรุงแต่งต่อ

ถ้าเราฝึกสมองเราให้คิดด้านไหนในทุกๆวัน
เรื่องที่คุณคิดในทุกๆวัน จะตกผลึกมากขึ้น

แต่บางครั้งคุณใช้สมองมากเกินไป ก็ควรให้สมองพักบ้าง

ไม่งั้นรอยหยักในสมองมากไป อาจจะทำให้คุณเกิดภาวะเครียดได้

ทุกอย่างให้ตั้งอยู่บนความพอดี

@...Miiez...@




วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

เหตุผลในการมีชีวิตของคุณคืออะไร


เหตุผลในการมีชีวิตของคุณคืออะไร 




หลายคนบอกว่าเป็นเป้าหมายในชีวิต
หลายคนบอกว่าเป็นความสุขในชีวิต
หลายคนบอกว่ามีชีวิตอยู่เพื่อคนข้างกาย

ไม่ว่าเหตุผลของการมีชีวิตอยู่จะเพื่อตัวเองหรือคนอื่น
แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งนั้นคือความหวังในใจตนเรานั่นเอง

เพราะเรามีความหวังว่า เราจะทำได้
เพราะเรามีความหวังว่า เราจะดูแลคนอื่นได้
เพราะเรามีความหวังว่า เราจะมีชีวิตที่ดีกว่าวันนี้
เพราะเรามีความหวังว่า เราจะสร้างสิ่งต่างๆให้ดีกว่านี้
เพราะเรามีความหวังว่า เราจะเปลี่ยนโลกได้

มันคือความหวังเล็กๆ ในจิตใจของเรา
นั่นละคือพลังแห่งการลงมือทำสิ่งต่างๆ

ไม่สำคัญหรอกว่าเป้าหมายใครแต่ละคนจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
เป้าหมายว่าสำคัญแล้ว แรงใจที่จะส่งพลังให้เราเดินถึงเป้าหมายนี้สำคัญยิ่งกว่านัก

เหตุผลในการเดินทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ความสุขในชีวิตคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ทางเดินของแต่ละคนก็แตกต่างกัน

หาเส้นทางเดินที่ใช่ ที่คุณมีความสุข
รู้จักการให้และรู้จักการรับ
มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทางเดียวก็มีความหมายเสมอ
ปัญหาและอุปสรรคที่เราเจอระหว่างทางเดิน ก็มีคุณค่าในตัวเสมอ

ไม่ต้องมองที่ใคร มองที่ใจตน มองที่จุดหมาย มองที่แผนที่ที่จะเดินทาง
แล้วเดินไปให้สุด  กับคนที่ร่วมทางเดินกับคุณ
จับมือแล้วเดินไปด้วยกันให้สุดทางเดิน
ให้กำลังใจตัวเองด้วยรางวัล  สานความฝันด้วยความหวังและความเชื่อมั่น
อุปสรรคที่ขวางกั้น แค่ด่านที่ทดสอบมานะในใจคุณ

@...Miiez...@

ทุกกาลจากลา มักมีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอ


ใครคนนั้น - พลพล x Labanoon



กาลเวลา ทำให้เราต้องจากกัน ความผูกพันไม่เคยจางหาย
ยังคงนึกถึง วันที่มีความหมาย อยู่เสมอ…
หวนคิดถึง ใครคนนั้นที่จากไป ป่านนี้เธอจะเป็นเช่นไร..
ได้แต่ฝากไว้ ผ่านสายลมความห่วงใย ช่วยส่งถึงเธอ..
** ยังคงคิดถึงเสมอ ยังคงรักเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ยังคงจำเรื่องราว ทุกวินาที ที่มีเธอร่วมเดิน ร่วมสร้างความฝัน..
ฉันยังคงคิดถึงทุกครั้ง ยามลืมตาขึ้นมา ตื่นมาจากฝัน
แม้รู้ว่าคงไม่มีวัน แต่ฉันยังคงแอบยิ้มทุกครั้ง คราวนึกถึงเธอ
กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องปล่อย ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น
กอดเก็บเรื่องราว ที่ไม่อาจจะย้อนคืน ฉันคงต้องเข้าใจ… **
(ยังคงจำเรื่องราว เธอและฉัน ไม่เคยลืม
ยังมีคำภาวนา จากใจฉัน ให้เทอ อยู่เสมอ..) **
แต่ฉันยังคงแอบยิ้มทุกครั้ง แด่ใครคนนั้นที่ทำให้จำ ก็สุขใจ.


--------------------------------------------------------------------

บรรยายความรู้สึกเมื่อได้ฟังเพลง

ทุกกาลจากลา มักมีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอ
แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความทรงจำ ของคนบางคน ในช่วงเวลาหนึ่ง

ความสุข ความทุกข์ ความเศร้า รอยยิ้ม ในแต่ละช่วงเวลา
มีคุณค่าเสมอ เมื่อคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น 

ฟังเพลงนี้แล้วคิดถึง คนที่เคยสร้างความทรงจำดีๆให้เราเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน มิตรภาพดีๆ จากใครบางคน ที่ยังมีอยู่ในความทรงจำของเรา

หนึ่งชีวิตของคุณ สร้างคุณค่าและความทรงจำให้กับใครบางนะ 
สร้างสิ่งดีๆให้คนจดจำ แม้ห่างหาย ก็ยังมีเรื่องราวดีๆ ให้นึกถึงกัน ^^ 

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

เริ่มต้นจากความรัก ส่งต่อด้วยความสุข


เริ่มต้นจากความรัก ส่งต่อด้วยความสุข



เวลาที่คุณเริ่มต้นทำสิ่งใดด้วยความรัก
คุณก็อยากจะส่งมอบต่อสิ่งดีๆ ตั้งแต่ความคิด จนถึงการกระทำ

ถ้าคุณเริ่มด้วยการได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก  ธุรกิจที่อยากทำ
คุณจะเหมือนได้ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ในโลกความสุขของคุณ

ลองคิดดูสิว่า เวลาคุณรักสิ่งใด  คุณจะอยากทำสิ่งดีๆมากมาย
แม้ว่าอาจจะต้องใช้แรงพยายามจากตัวคุณเองมากแค่ไหน
แต่เวลาเรารักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  เราอยากที่จะทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด สุดความสามารถของเรา
เพื่อให้สิ่งนั้นเติบใหญ่ เติบโตในแบบที่เป็น โดยมีเราเป็นแรงส่งไป

เคยไหม ที่คุณทำธุรกิจหนึ่งด้วยความรักมาก  แต่คุณคาดหวังกับธุรกิจอันนั้น
แล้วพอไม่เป็นไปตามหวัง  คุณเจ็บหนัก ยังกับคนอกหักเลย
ซึ่งตามจริงแล้ว คุณอกหักกับธุรกิจนั่นเอง
แต่ถ้าเป็นไปตามหวังทุกเสต็ป หัวใจคุณจะยิ่งพองโตมาก แล้วมีกำลังใจทำต่อ

ถ้าไม่อยากรู้สึกอกหักจากธุรกิจ ก็จงรักให้เป็น 
ทำอะไรทุกอย่างด้วยความรัก แต่เป็นรักที่บริสุทธิ์ 
ทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องคาดหวังในผลลัพท์ แต่จงมีเป้าหมายในทางเดิน

ถ้าความรักกับสิ่งนี้ไม่ใช่ ก็จงอย่าฝืนดันทุรัง เดินต่อเป้าหมายไม่ได้เปลี่ยน
แต่แค่เปลี่ยนเส้นทางกับธุรกิจที่เดิน เหมือนชีวิตคนนะ
ที่ปลายทางเหมือนกัน แต่แค่คนที่เดินร่วมทางกับชีวิตจะเป็นใครแค่นั้นเอง

เมื่อเราสร้างธุรกิจจากความรัก เมื่อความรักมันงอกเงย เติบโตขึ้นมา
สิ่งที่จะตามมาคือ ความหอมหวาน อบอวนในความรัก ที่พร้อมกระจายต่อไปถึงผู้คนอีกมากมาย
นั่นคือความสุขที่เราอยากจะส่งต่อสิ่งดีๆ คืนต่อให้กับคุณลูกค้า

เคยสังเกตุไหมว่า ทำไมแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ เค้าเกิดจากอะไร
เริ่มจากการรู้จักลูกค้าของคุณดีแค่ไหน เข้าใจลูกค้าดีแค่ไหน
ที่จะสามารถสร้างคุณค่าสินค้าคุณให้เข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้อย่างไร
นั่นคือการให้ความรัก ความใส่ใจ ดูแล ลูกค้าของเค้าให้ดีที่สุดยังไงละ
มีจุดยืนในสิ่งที่เป็น  ส่งมอบสิ่งดีๆให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าหลงรัก
แล้วรักษาลูกค้าต่อด้วยโปรโมชั่นมากมาย

แบรนด์ที่จะยั่งยืนได้ ไม่ใช่ว่า ทำให้ลูกค้าหลงรักแค่ในคร่าวแรก
แต่คือการรักษาคุณภาพสินค้า และสร้างความจดจำในแบรนด์ตลอดไปในใจลูกค้าได้ต่างหากละ
แล้วแบรนด์คุณจะอยู่ในใจลูกค้าตลอดไป

ไม่ใช่แค่สร้างความรัก แต่การรักษาความรักที่มีก็สำคัญ
สร้างความรัก ส่งต่อความสุข ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับผู้คน

@...Miiez...@

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

The Red Turtle เต่าแดง สปอย์


The Red Turtle เต่าแดง

เป็นหนังที่ดูจบแล้วให้ความรู้สึกว่า  นี่แหละชีวิต
เรื่องนี้แทบจะไม่มีการพูดกันเลยทั้งเรื่อง
หนังอนิเมชั่น ที่ให้คุณได้จินตนาการในทุกตอน แบบไม่ต้องปิดกั้นความคิด



แต่พ้อยในเรื่องนี้ ได้เห็นแง่มุมการใช้ชีวิต ของคนเลยละ

เริ่มจากชายหนุ่มพลัดมาติดเกาะ ความงงงวย เรียนรู้ บนเกาะเกิดขึ้น
หาน้ำดื่ม หาอาหารกิน หามิตรภาพจากสัตว์น้อยๆ เป็นเพื่อน
สำรวจรอบเกาะ พลัดตก แล้วดิ้นรนหาทางรอด จากที่ๆหนึ่ง

แล้วมีความคิดอยากจะหนีจากเกาะ
ความอยากทำให้เกิดการสร้างแพ 
ลงทะเลแต่ละรอบ ก็ต้องจากลาสัตว์น้อยใหญ่เรียงหน้า อำลา
แต่ก็มีอะไรมาทำให้แพพังลงระหว่างทางในทุกรอบ

ชายหนุ่มทั้งเหนื่อย โมโห ที่ไม่สามารถรู้ว่าคืออะไร
ในรอบครั้งใหม่ๆ ก็ยังระวังและหาสาเหตุมากขึ้นว่าจากอะไร
จนครั้งหนึ่ง ที่เต่าแดง โผล่มาให้เห็น ก็จะทำลายแพลง

ชายหนุ่มก็กลับมาติดเกาะอีกครั้ง และโมโหเต่าแดงมาก
พอมองจากที่สูง เห็นเต่าแดงขึ้นมาบนเกาะ
ด้วยความโมโหทั้งหมดที่มี วิ่งลงมาเพื่อทำร้ายเต่าแดง
และก็สำเร็จตามใจหมาย 

แต่หลังจากนี้ได้เห็น มุมมองในความเป็นคนของชายหนุ่ม
จากสิ่งที่ทำ มีความรู้สึกผิดในใจ เมื่อมีสตินึกขึ้นได้จึงเก็บภาพไปฝัน
แล้วพอตื่นขึ้นมา ก็ไปดูแลเต่าแดงที่ตนทำร้าย หลายอย่างด้วยจิตใจ
ความพยายามหลายสิ่ง จนเต่าแดง กระดองแตก กลายร่างเป็นหญิงสาว

จนพอหญิงสาวลุกขึ้นมา แล้วทิ้งกระดองตัวเองลอยไปกับสายน้ำ
เพื่อทิ้งตัวตนเก่าลงไป  ชายหนุ่มก็เลือกที่จะทิ้งแพ เพื่อทิ้งความคิดที่จะออกจากเกาะลง
ทั้งสองเลยได้เริ่มชีวิตคู่กันที่บนเกาะแห่งนี้ ต่างฝ่ายต่างอภัยในสิ่งที่เคยทำร้ายกัน
และเริ่มสร้างสิ่งดีๆให้กันใหม่  จนเกิดมีลูกขึ้นมา

พอมีลูกน้อย ก็มีทั้งเรื่องการสอนลูกน้อยให้เล่นไปตามธรรมชาติ
มีอยู่ตอนที่ลูกน้อย ตกลงไปในทะเล ถึงพ่อแม่จะตกใจ ชายหนุ่มอยากจะกระโดลงไปช่วย
แต่หญิงสาวปรามไว้ และสอนให้ลูกว่ายน้ำแล้วออกจากสิ่งที่ติด จากท่าทางและสายตา
เป็นการเลี้ยงที่สอนให้เค้าเติบโตด้วยตัวเอง ทำหลายอย่างด้วยตัวเองได้

แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในธรรมชาติที่สวยงาม
สามารถสร้างสิ่งที่เลวร้ายได้ ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอ
แต่ทุกอย่างจะมีเหตุเตือนเราอยู่ ถ้ารู้จักสังเกตุ 
สึนามิลูกใหญ่ ที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ละคนเป็นห่วงกัน แต่ก็ต้องหนีเอาชีวิตรอด
พอมีสติรู้ตัว ก็ต่างตามหากัน จนเจอ  และเข้าใจชีวิตมากกว่าเดิม

พอเด็กน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ๋ ก็เริ่มอยากมีความคิดออกจากเกาะนี้
ออกไปเผชิญโลกภายนอก จนเก็บไปฝัน  และก็มาบอกกับทุกคน
พ่อแม่ก็ต้องปล่อยให้ลูกน้อยออกเดินทางไป  เห็นภาพการจากลาของลูกน้อย

แล้วพ่อแม่ก็อยู่ดูแลกันเพียงลำพังสองคน
จวบจนเฒ่าแก่ลง และชายหนุ่มก็จากลาไป ข้างกายหญิงสาว

เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการดำเนินของชีวิตมนุษย์แทบทั้งหมดเลย
เมื่อดิ้นรน จิตใจจะแสวงหา วิธีการ ไม่ยอมหยุดนิ่ง ใจจะร้อน เพราะไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ตนอยู่
พอเริ่มมีคนข้างกาย เริ่มหยุด หรือพอใจกับที่ตรงหน้า ก็หาวิธีการ
แล้วสร้างความสุขให้ตัวเองและคนข้างๆ  คุณค่าในการใช้ชีวิตในที่ตรงนั้นมีขึ้นมา
ทุกคนต้องพบกับการจากลา ไม่ว่าจะจากคนที่รัก หรือสิ่งใดก็ตาม
แม้ว่าโลกใบนี้จะสวยงามในความคิดมากเพียงใด สักวันหนึ่งก็ต้องจากลาทุกสิ่งลงนั่นเอง

@...Miiez...@

วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560

มุมมองจากหนัง



เมื่อวานดูหนังจบไป 2 เรื่อง  ให้ข้อคิดที่แตกต่างกัน

หนังเรื่องแรกที่ดู

The finest hours ชั่วโมงระทึกฝ่าวิกฤตทะเลเดือด



เรื่องนี้สำหรับเรา ดูแล้ว เรารู้สึก ทำให้เห็นถึงคุณค่าของการมีชีวิตมากขึ้น
เรื่องนี้ทำให้เห็นถึง 2 อาชีพ ที่มีความเสี่ยงกับทะเล
ทั้งคนที่ต้องเดินเรือ บรรทุกสินค้า ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ท้องฟ้าจะวิกฤติแปรปรวนตอนไหน
จะเกิดพายุกลางทะเล ทำให้เรืออับปางลงเมื่อไหร่ 
และคนที่ทำอาชีพ ยามดูแลชายฝั่ง เวลาที่มีพายุรุนแรง แล้วต้องออกไปช่วยคนในขณะนั่น
จะเลือกโกหก รักษาชีวิตรอด แกล้งหลงทาง หรือ ช่วยเหลือชีวิตคน แต่อาจไม่รอดกลับมา
เป็นเรื่องที่ดูแล้วถือว่า ลุ้นตั้งแต่ต้นเรื่อง จนจบเรื่อง ซึ้ง ดีใจที่กลับมาได้

 ทุกวิฤติ ย่อมสร้างวีรบุรุษเสมอ 
เห็นการแก้ปัญหาในยามวิกฤติของมนุษย์ ในเรื่องนี้ถึง 2 คน
คนแรกจากคนขับเรือ ที่รู้จักเรือดีที่สุด คนที่รับฟังเค้ามี แค่ 2 คนในเรือ แต่ยามวิกฤติ
เค้าคือผู้ช่วยชีวิตคนทั้งเรือ หาวิธีแก้ปัญหา ทำยังไงให้เรือ อยู่นิ่งๆ และ ไม่จมได้นานที่สุด
ทั้งที่เรือเริ่มชำรุด และกำลังจะอับปางลง  ต้องกลายเป็นผู้นำคน และสร้างให้คนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่า
เชื่อในสิ่งที่เค้าบอก  เพื่อให้ทุกคนเห็นเป็นฝั่งเดียวกัน และสามัคคี ทำตามกัน จนรอดมาได้

คนที่สอง จากคนที่เคยมีปมในปีก่อนหน้า แต่พอได้รับภารกิจที่ต้องลุยฟ่าพายุไปช่วยคน
เป็นคนที่ยึดมั่นตามกฏและเชื่อในกฏมาก   ไม่มีคำว่าแหกกฏ อยู่ในกรอบ
แม้กระทั่งเรื่องแต่งงาน ในกฏก็แค่เขียนไว้ว่าต้องแจ้งผู้บังคับบัญชา ตัวละครตัวนี้
ก็ต้องไปพูดขออนุญาติ ไม่งั้นรู้สึกว่าทำผิดกฏ  แสดงให้เห็นถึงเนื้อในของตัวละคร
แม้ขนาดที่ได้รับภารกิจ รู้ว่ามีโอกาสไม่รอดกลับมาสูงกว่า แต่ก็ต้องไป 
ขนาดถึงกลางทางที่เลยจุดที่อันตรายที่สุดมาแล้ว  เข็มทิศหาย วิทยุขาดการเชื่อมต่อ
หลายคนในทีมบอกให้กลับ แต่ด้วยเป็นคนทำตามกฏ  และคิดถึงคนที่รอความช่วยเหลือ
จึงเดินหน้าต่อ โดยใช้ความฉลาดของพระเอก เดินทางโดยอาศัยสัมผัสลมทะเล และ
ปิดไฟนำทางเพื่อใช้สายตามองให้เห็น จนสุดท้ายก็ได้พบเรือพร้อมผู้คนจำนวนมาก

ปัญหาเกิดขึ้นอีก เพราะเรือรับได้จุสูงสุด 20-22 คน แต่คนรอดชีวิต มีมากถึง 32 คน
คนในทีมให้ความเห็นว่า พากลับก่อนจำนวนหนึ่งแล้วค่อยมารับกลับอีกครั้ง
ตัวละครพระเอกยังคงหนักแน่น เนื่องจากมองเห็นเรือลำใหญ่ครั้งหน้า ที่กำลังจะอับปางลง
ถ้าไม่ให้ขึ้นเรือทั้งหมด คนที่เหลืออยู่ รอความช่วยเหลือ อาจจะไม่ทันเวลา
ก็รับลงมาหมด  และพูดประโยคกินใจว่า รอดก็ต้องรอดด้วยกันทั้งหมด ถ้าตายก็ตายทั้งหมด
ถึงคร่าวปัญหามาอีกแล้ว เข็มทิศไม่มี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนของกลางทะเล
จะพาทุกคนกลับฝั่งยังไง   วิทยุกลับฝั่ง ถูกสั่งให้พาไปขึ้นเรือลำใหญ่อีกลำข้างๆ
เป็นครั้งแรกที่พระเอก ตัดสินใจ ฝืนคำบังคับบัญชา เพราะเค้ารู้แล้วว่า เค้าเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
มากกว่า เค้าเพิ่งช่วยคนจากเรือใหญ่ จะพาคนทั้งหมด กลับขึ้นเรือใหญ่อีก คงไม่ใช่แนวทาง
เลือกตัดวิทยุลง  และเชื่อตัวเองความฉลาดของพระเอกมาอีกครั้ง
ปล่อยให้เรือโดนคลื่นซัดไปตามทะเล เพื่อรอให้พายุสงบลง แล้วค่อยตามแสงไฟ ไปถึงฝั่ง
เนื่องจากคลื่นจะซัดเข้าหาฝั่งอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องโต้คลื่น เพื่อไปให้ไกล
สุดท้ายแล้วก็พากันกลับมาถึง
คนที่รอก็ช่วยกันเปิดแสงไฟจากรถ เพื่อเป็นแสงนำทางให้คนที่อยู่กลางทะเลเห็น
เมื่อผ่านวิกฤติมาได้ คนที่รักกัน เจอหน้ากัน เหมือนได้เข้าใจในความรักของกันและกันมากขึ้น
เข้าใจความหมายของการมีชีวิตมากขึ้น  เป็นเรื่องที่ดูแล้วซึ้ง กินใจ เข้าใจในแต่ละตัวละคร
เข้าใจความเป็นมนุษย์ ทุกคนอยากมีชีวิตรอด แต่สุดท้าย ในทุกวิกฤติถ้าผ่านมาได้
ก็จะได้สร้างวีรบุรุษเช่นกัน

เรื่องที่สองที่ได้ดู

Don't Breathe ลมหายใจสั่งตาย


เป็นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจสุดๆ แต่ก็ได้เห็นความเห็นแก่ตัวของทุกตัวละครนะ
ทุกตัวละคร มีความเลวในตัวทั้งหมด  ความน่าสงสารในตัวละคร
ความยับยั่งชั่งใจของแต่ละตัวละครมีน้อย ต่างคนต่างมีเหตุผลในตัวเอง

โจร 3 คน เข้าไปบ้านลุงตาบอด เพื่อหวังปล้นเงิน เพื่อตัวเอง
ตัวนางเอก อยากพาน้องย้ายถิ่นหนีจากครอบครัว
ตัวพระเอก ด้วยความที่แอบรักนางเอก ต้องขโมยกุญแจพ่อ ไปช่วยนางเอกในการทำภารกิจ
ตัวแฟนนางเอก ด้วยความอยากได้เงิน ไม่สนว่าจะเป็นคนตาบอดหรือไม่

จะมีอยู่ตอนที่คุยในรถ ที่ทำให้เห็นว่า โจร รู้สึกผิดในการกระทำ
แต่ด้วยเหตุความเห็นแก่ตัว อยู่เหนือศีลธรรม เลยบุกเข้าไปและพบกับคนที่มีปมอีกหนึ่งคน
คนลุงตาบอด ที่คนภายนอกคิดว่า อ่อนแอ แต่กลับมีประสาทสัมผัสดี
และไหวพริบ ทักษะในการต่อสู้ เนื่องจากเคยเป็นทหารมาก่อน
แล้วก็ต้องไปเจอ ปมของลุงตาบอด ความเห็นแก่ตัวของลุง
ที่ซ่อนสาวคนหนึ่งที่ขับรถชนลูกสาวตัวเองเสียชีวิต เหตุผลของลุงคือคนรวยไม่เคยผิด
สู้คดียังไง ก็ไม่มีทางเอาผิดได้ เลยจัดการลงโทษสะเอง
เมื่อทำให้ชีวิตหนึ่งสูญหาย ก็ต้องสร้างอีกหนึ่งชีวิตมาคืน
จับหญิงสาว มาฉีดเปิร์มเข้าทางอวัยวะเพศ แล้วรอ 9 เดือน เพื่อคลอด
ไม่ใช้วิธีข่มขืน ลุงให้เหตุผลในใจตัวเองว่า ฉันเป็นคนดี มีคุณธรรมอยู่ แต่แันต้องการความยุติธรรม
ในเมื่อกฏหมายลงโทษไม่ได้  ฉันก็จะขอจัดการเอง 

พอพลาดยิงโดนสาวคนนี้ตาย ตัวนางเอกก็ต้องมารับกรรมต่อ นางเอกเลยได้รู้เรื่องทั้งหมด
และเกลียดลุงตาบอดมาก กล่าวหาว่าโรคจิต แต่ก็ไม่ดูความผิดตัวเอง
ที่แอบเข้ามาบ้านลุงเพื่อที่จะขโมยเงิน ทำให้คนทั้ง 2 ตาย เพราะความโลภ อยากได้ของคนอื่น
ถึงแม้นางเอกจะได้เงินไป และลุงก็ไม่ได้บอกว่ามีคนร้ายอีกคนคือนางเอก
เพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง ส่วนหนึ่ง แต่ดูแล้ว อาจจะมีกับไปจัดการนางเอกด้วยมือตัวเอง
เพื่อมาชดใช้ความยุติธรรมหรือไม่ ใรจะไปรู้ได้

สุดท้ายดูเรื่องนี้จบแล้ว  ทุกตัวละครเห็นแก่ตัวหมด  มีเหตุผลในตัวเอง
ไม่รู้จักคำว่าอภัย  ความอยากได้ของคนอื่น ทำให้เกิดการฆาตกรรมที่น่าเศร้า
และ คำว่าไม่ให้อภัย เกิดการทารุณคนหนึ่ง เพื่อความต้องการของตัวเอง
ความไม่ไว้ใจ  นำไปสู่ ความตาย

ลองไปหากันดูนะ เพื่อจะได้แนวคิด มุมมองที่แตกต่าง

บางครั้งมุมมองจากหนัง อาจจะทำให้เราเข้าใจมนุษย์มากขึ้น
ข้อคิดจากหนัง ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเราได้
หนังทุกเรื่อง  มีข้อคิดอยู่ในหนัง มองให้เป็น แล้วเราอาจจะหลงรักการดูหนังก็ได้

@...Miiez...@

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ความกล้ากับความกลัว

ความกล้ากับความกลัว



เคยไหมที่เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง
เคยไหมที่บางครั้งเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เราไม่กล้าที่จะทำ
เคยไหมที่บางครั้งเราใช้สิทธิ์อะไรพิเศษแต่เราก็กลัวที่จะใช้
เคยไหมที่เรากลัวการทำสิ่งแปลกไหม สิ่งที่ไม่เคยทำ

ความกลัว ความไม่มั่นใจในตัวเอง
มีเหตุผลง่ายๆ แค่ไม่กี่ข้อ
คือกลัวว่าตัวเองทำอะไรผิด  และกลัวว่าคนอื่นจะมองเราไม่ดี

มีคนเคยสอนให้เราคิดง่ายๆ
นั่นคือกล้าที่จะให้คนอื่นมองเราไม่ดี และกล้าที่ตัวเองจะทำอะไรผิด

เพราะคงไม่มีใครทำถูกไปทุกเรื่อง
และคนทุกคนบนโลก คงไม่ได้ชื่นชอบในทุกการกระทำของเรา
จะกลัวไปทำไม ไม่ว่าคุณจะกระทำอะไร ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบในการกระทำอยู่แล้ว
แคร์คนอื่นมากไป คุณอาจจะไม่กล้าทำอะไรเลย

แค่เรากล้าที่จะยอมรับความคิด และการกระทำของตัวเราเอง
ถ้าทำผิดถูกดุก็ยอมรับในสิ่งที่ผิด แล้วนำมาปรับปรุงในครั้งหน้า
อย่าไปจมกับความผิดในอดีตที่ทำ ย้ำผิดในความคิด เราก็จะยิ่งกลัวในการทำสิ่งนั้น

เอาชนะความกลัวด้วยความกล้าในใจเราสิ
แล้วเราจะรู้สึกสัมผัสได้ถึง ความสุขในความกล้าของเรา
และได้เจอสิ่งใหม่ๆที่เราไม่กล้าทำ เพราะกลัวการลงมือทำสิ่งเหล่านั้น

เคยไหม มีสิทธิ์พิเศษ แต่ไม่กล้าใช้ เพราะอาย นั้นละคุณก็พลาดสิ่งดีๆ เพราะความกลัว
อายหรือ อายทำไม ทำอะไรผิดหรือ ก็ไม่นิ ลองปรับมุมมองที่ต่างดูสิ
นั่นคือเอกสิทธิพิเศษเฉพาะคุณ  คุณคือหนึ่งในคนพิเศษ นั่นก็น้อยคนที่จะได้ใช้
จงภูมิใจและมั่นใจที่กล้าใช้ ในสิทธิ์พิเศษ ของคุณ แล้วคุณจะรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้น

หรือบางครั้ง คุณเคยเสียเวลากับการค้นหาเส้นทางเองไหม ในการไปสถานที่แห่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นห้างก็ตามแต่  หรือไปโรงแรมแล้วหาวิธี ใช้อะไรในห้องไม่เป็น
คุณกลัวว่าคุณจะโง่ไง คุณเลยอาย  เลยต้องเสียเวลาเดินหา หรือบางทีเสียเวลาและไม่ได้ข้อมูล
เพราะมัวแต่กลัวเลยพลาดหลายสิ่งได้
แค่คุณกล้าที่จะเดินไปถาม Information  เพื่อถามเส้นทางในห้าง คุณก็ได้คำตอบแล้ว
แค่คุณกล้าที่จะโทรหา Reception โรงแรม คุณก็ได้ข้อมูลแล้ว
ทำไม ต้องทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก แค่คำว่ากลัวในใจคุณละ

แต่ความกล้าของคุณ ก็จงแค่กล้าในสิ่งที่ถูก และถูกที่ถูกคน มีเหตุผล ดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วย
มิฉะนั้น ความกล้าของคุณ อาจจะนำภัยมาให้กับตัวคุณได้

@...Miiez...@


วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560

สภาวะพักตัว


บ่อยครั้งที่ใจและกาย อ่อนแอลง เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง
เป็นธรรมดาของชีวิตคน ที่ขึ้นสนามประลอง
ก็ต้องมีหมดกำลัง เหนื่อยบ้าง หมดแรงบ้าง
ก็มีจุดพักยก หรือเรียกว่า สภาวะพักตัว  ปล่อยสมองให้โล่ง
ทิ้งสมองให้ว่าง เพื่อให้สมองและใจได้เบิกบาน  ปลอดโปล่ง
เตรียมพร้อม รับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต



เพราะบางครั้ง การที่เราลงมือทำอย่างเดียว สมองทำงานจนล้า
บางทีสมองก็ต้องการพักบ้าง  เพื่อจะได้ทำงานต่อ

ร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักร ไม่ใช่หุ่นยนต์
มีเหนื่อย อ่อนแรง เป็นธรรมดา

แต่สิ่งที่มีเหนือกว่าทุกสิ่ง คือใจจะต้องไม่ยอมแพ้
เพื่อเป้าหมายข้างหน้าที่อยากจะเดินไปถึง

บางทีใจและสมองเรา  มีข้อมูลมากเกินไป จนล้น
แต่พอได้ให้สมอง ร่างกาย และ ใจ ได้พักลง

สิ่งที่เราจะได้พบอย่างประหลาด คือ ความเบาบาง ผ่อนคลาย
ไอเดียต่างๆ ก็โลดแล่นกลับคืนมา อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ด้วยการที่เราได้พัก เป็นหนึ่งสิ่งที่ ให้เราได้หยุดทบทวน
และฟังเสียงหัวใจตัวเอง  เสียงความคิดที่ซ่อนอยู่
เสียงจินตนาการที่ลึกล้ำ  เสียงจากสิ่งแวดล้อมที่คอยบอกเรา

หยุดจดจ่อและโฟกัสเพียงชั่วขณะ
แล้วคุณอาจจะได้พบกับหลายสิ่งที่คุณอาจจะมองข้ามไปได้

เดินต่อไป....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

ธรรมชาติจัดสรร


คุณเชื่อในธรรมชาติจัดสรรไหม



ทำไมนะ คนเราถึงเจอกัน ในที่ที่หนึ่ง
ทำไมนะ คนเราถึงถูกใจกัน ในที่ที่หนึ่ง
ทำไมนะ คนเราถึงสนิทกับ ใครบางคน ในช่วงๆหนึ่ง

หลายเหตุผล ที่ทำให้คนมาเจอกัน มารวมกัน
บางครั้งก็มองว่า ธรรมชาติ จัดสรร
แต่บางครั้ง เรามองว่า กรรมจัดสรร ต่างหากละ

คนเราเลือกที่จัดสรร กรรม ในแบบที่เราเป็นได้
เราเลือกได้ ที่จะเข้าอยู่กับที่แห่งไหน อย่างไร

เข้าแล้วชื่นชอบ จิตเราใฝ่หา  กรรมจากจิตที่ชื่นชอบ ก็จะนำพาเราไปสู่สังคมนั้น
เข้าแล้วไม่ชอบ จิตเราก็จะไม่สุนทรีย์ จะนำเราออกมาจากจุดนั้น

มันคือ กรรม จัดสรร ให้เราเป็น ในแบบที่เป็นเรา
เราเลือกทุกอย่างได้จากตัวเรา  เราเลือกได้ว่าจะอยู่ในสังคมแบบไหน

ผู้คนแบบไหนที่เราเลือกจะเข้าหา
ผู้คนแบบไหนที่เราจะหลีกหนี
ไม่ใช่ว่าเราเลือกอย่างเดียว แต่ผู้คนก็เลือกเราด้วยเช่นกัน

เคยมีคนกล่าวกะเราไว้ว่า
อยากรู้ว่า คุณเป็นคนแบบไหน
ลองดูเพื่อนที่คุณเลือกคบสิ ไม่ต่างจากคุณมากหรอก
ต้องมีบางสิ่งบางอย่าง ที่คล้ายกับคุณ
พึงใจในนิสัยบางอย่างของกันและกัน นั่นเองแล

โลกใบนี้ สวยงามหรือไม่ อยู่ที่คนจะมอง
แต่โลกก็อยู่ในความเป็นโลกไปแบบนั้น
มีแต่จิตใจมนุษย์ ที่หลงวน อยู่กับโลก อย่างนั้นแล

เริ่มหลงกับโลกเมื่อไหร่ ก็น้อมทุกอย่างลงมาดูจิต 
มองให้เห็นสัจธรรมต่างๆของชีวิต 
สิ่งที่เจ้าจักหลง จักหายไป ดูมันเถิดหนา
มองให้เห็น จักได้ไม่ลุ่มหลง กับกิเลสมากนัก

หลงสุข จมทุกข์ จิตมันก็วนเวียนแบบนั้นแล
หลงดี เกลียดเลว  จิตมันก็ติดอยู่นั่นแล
หลงงาม  ติดรูป  จิตมันก็หลงอยู่นั่นแล

ไม่มีสิ่งใดเที่ยงหนอ อย่ายึดกับสิ่งใด แต่ทำสิ่งที่คิดว่าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
กับทุกการกระทำของเรา  พึงรักษา กาย วาจา ใจ เราให้ดี
ระวังแค่ กาย วาจา ใจ เรานี้แล ไม่ต้องดูไกล ดูที่จิตเรานี้แล
แค่นี้ก็พอแล้วละ  

เดินทางต่อไป แบบมีสติ รู้ทันกิเลส รู้ทันใจตน
น้กเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

โดนกิเลสล่อลวง


โดนกิเลสล่อลวง

เปิดตู้เย็นแล้วเจอไอติม รสโปรด 


สักพักโดนไอติม สะกดจิตใส่ในความคิด
กินฉันสิ กินฉันสิ กินฉันสิ  หยิบฉันขึ้นมา กินฉันสิ
สุดท้ายมือน้อยๆ ก็เอื้อมไปหยิบ น้องไอติม ออกจากตู้เย็น
และทำตามเสียงไอติมที่สะกดจิตลงไป

ฮ่าๆ  ไขมันลงท้องเรียบร้อย  ยามเย็นคงต้องออกกำลังกายรีดไขมันต่อ

บางครั้งมนุษย์เรา ก็แพ้กิเลส ง่ายๆ แค่ใจมโนไปถึง รสสัมผัส ที่เคยได้ลิ้มลอง
ความอยากก็เกิดการกระตุ้น ให้เกิดการลงมือ กระทำ เพื่อได้สัมผัส

เปรียบได้เหมือน เวลาคน ชอบกระทำบางสิ่ง บางอย่างให้เกิดความสำเร็จผล
บางครั้งไม่ได้หลงไหลในตัวเงิน  แต่คนเหล่านั้นหลงไหลในความรู้สึก ชนะ ในการกระทำต่างหาก
ความอยากเอาชนะ  ความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง 
จึงก่อให้เกิดการกระทำ เพื่อผลบรรลุ สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง

จากไอติม สู่ ข้อคิดได้ยังไงเน้อ
สนุกกับการคิด สนุกกับการเรียนรู้ 
เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

คำว่า รู้ กับ ไม่รู้


บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่า เราอาจจะทำได้ไม่ดี อาจจะดีแล้ว
บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่า เราอาจจะทำดีแล้ว อาจจะยังไม่ดีก็ได้
สิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราคิด



แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเราทำเต็มที่แล้วหรือยัง
อย่าเพิ่งสนใจในผลลัพท์ แต่ให้สนใจว่า เราลงมือทำเต็มที่ และสุดความสามารถของเราแล้วหรือยัง

ในแต่ละครั้งที่เราลงมือทำสิ่งใดก็ตามแต่
ไม่มีใครรู้ข้อมูลทุกสิ่งหรอก
โลกใบนี้มีแค่ 2 อย่างเท่านั้นละ คำว่า รู้ กับ ไม่รู้
อยากรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็เรียนรู้ ใส่ใจ เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งนั้น
แล้วคุณจะได้พบกับคำว่า รู้ ในสิ่งๆนั้น
คำว่ารู้ อาจจะมาจากการบอกเล่า จากคนที่เคยเดินเส้นทางเหล่านั้นมาก่อน
หรือว่า ตำราที่คุณได้ไปเสาะหามาอ่าน
วิดีโอ ที่คุณได้ไปรับชมฟัง เพื่อเรียนรู้
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็อย่าลืมที่จะ ลงมือทำ เพราะนั่นคือคำว่ารู้จริงจากปฏิบัติไม่ใช่แค่ทฤษฎี

ลงมือทำให้เต็มที่ แล้วเรียนรู้จากสิ่งที่ทำ
แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด พัฒนาให้ดีกว่าเดิม

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

สายฝนกับความทรงจำ


วันนี้นั่งมองสายฝน ยามที่ฝนตกฉ่ำเย็น
บรรยากาศช่างดูน่าหลับไหลมากเหลือเกิน



อากาศแบบนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราวอดีตต่างๆมากมายเข้ามาในหัว
ความทรงจำดีๆมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เห็นสายฝน แล้วก็อดนึกถึงไม่ได้จริงๆ

เรื่องราวกับสายฝน ทั้งยามเด็ก จนเติบใหญ่
ผ่านอะไรมามากมาย กับสายฝนที่เย็นฉ่ำเหล่านี้

ได้อารมณ์ที่ดูเหงาๆ คิดถึง เข้าใจสายฝน ที่ทำหน้าที่ ก็ยามนี้ละ
หยุดมองดูสายฝน หยุดงานที่อยู่ตรงหน้า วางลงแบบชั่วคราว
เสียงซ่าๆ ที่ดังไหลริน  เสียงฟ้าผ่าที่ดังเปรี้ยงๆ 
มองดูฝนฟ้า ที่แปรปรวน แล้วหันมาน้อมดูจิตใจเรา ก็ช่างปรวนแปร ไม่ต่างจากฟ้าฝนเลย

พอฝนหยุดตก ฟ้าที่ดูมืดมิด ก็เริ่มสว่าง
ไอจากน้ำฝนยังคงเจือจาง  ความเย็นยะเยือก ยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ
ไม่ต่างจาก ภวังค์ความคิดความทรงจำ ที่ยังคงเหลืออยู่ แม้ช่วงเวลาผ่านไปก็ตาม

สุขที่ได้นึกถึง สุขที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุขเพียงใจมโน
อิ่มเอมใจในสายฝนที่ดูเหงาๆ ดีดตื้นความทรงจำห้วนกลับมา

รักในสายฝนพร่ำ ฉ่ำเย็นในหัวใจอีกครั้ง

@...Miiez...@

อยู่อย่างเป็นสุขได้ ต้องมี ๓ 'ช่าง'

อยู่อย่างเป็นสุขได้ ต้องมี ๓ 'ช่าง'

๑. 'ช่างกู' คือ ไม่แคร์สื่อไม่สนขี้ปากชาวบ้าน ใครจะว่านินทาอะไรก็ช่าง เราทำของเราให้ดีเป็นใช้ได้

๒. 'ช่างมึง' คือ ไม่ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ใครจะเอาเรื่องใครมาโพนทนาให้เราฟังก็อย่าไปเก็บมาใส่ใจให้รกสมอง

๓. 'ช่างมัน' คือ อะไรเกิดขึ้นมาแก้ได้ก็แก้ไป แต่ถ้าทำจนสุดวิสัยแล้วแก้ไม่ได้ก็ปล่อยมันไป อะไรอยากจะเกิดก็ปล่อยมัน รักษาใจของเราไว้อย่าให้เศร้าหมองก็พอ

ถ้ามี ๓ ช่างนี้ไว้ อยู่ไหนก็ไม่ทุกข์!

วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

บันทึกการเดินทางวันหยุด

 บันทึกการเดินทาง

วันนี้วางเดินทางไปทำบุญ ถวายสังฆฑาน ต่อ แถวอยุธยา
การเดินทางมักได้พบเรื่องราวที่ประทับใจเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เริ่มจากร้านชากังราวในปั้ม ระหว่างที่จอดแวะปั้ม
ก็เผอิญนั่งรอในรถ ได้ฟังการตลาดจากเจ้านี้โดยบังเอิญ ไอเดียบังเกิดได้แบบไม่น่าเชื่อ
ใครจะรู้ละว่า ไอเดียงานจะมาเกิดได้ในปั้มน้ำมัน

วันนี้ฟ้าดูมืดคลึ้มหน่อย คล้ายว่าฝนจะลงเม็ดแน่ๆ  แต่ก็ไม่มีอะไรหยุดเราจะมาทำบุญได้
ขับไปเรื่อยๆ เข้าวัดแบบไม่มีจุดมุ่งหมายว่าจะเป็นวัดอะไร
พี่อยากได้แบบวัดที่ดูห่างไกล และ ทุรกันดารหน่อย

มาถึงแล้ววัดแรกที่เข้ามาพบเจอ วันจันทาราม


วัดน้ำท่วม หาพระไม่เจอ เลยขับออกต่อ แต่เข้ามาวัดนี้ มีคำถามเกิดขึ้นในหัวทันใดเลย
ถ้าเราต้องเจอปัญหาน้ำท่วมแบบนี้ อย่างเดิมทุกปี  ถ้าต้องอยู่ก็ต้องรับมือ 
เตรียมความพร้อมกับน้ำท่วมแบบนี้  แต่ถ้าอีกทางคือการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเอง
คือ การออกจากปัญหาเหล่านั้น เดินออกมาจากที่ๆอยู่ เพื่อไปเผชิญและเรียนรู้กับที่แห่งใหม่
ก็ไม่แตกต่างกับการใช้ชีวิต  หากสิ่งที่ทำอยู่ต้องเจอปัญหาเดิมๆตลอด  ก็มี 2 ทางเลือก
ถ้าจะอยู่กับปัญหาให้ได้ ก็ต้องเตรียมรับมือกับปัญหาที่ต้องเจอให้ดีขึ้นกว่าเดิม 
หรืออีกทาง คือ ออกจากปัญหา แล้วเลือกทำสิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิตเราได้เรียนรู้ 
เพื่อจะเจออะไรที่ดีกว่าที่เป็นอยู่  มีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น 
คืออยู่กับปัญหาให้ได้ หรือ ออกจากปัญหานั้นไปเลยต่างหากละ 

วัดที่สองที่ไป มีความตื่นเต้นเล็กน้อย ชื่อว่า "วัดใหม่"  ไม่ตื่นเต้นได้ไง 
ชื่อวัดมีตั้งหลายวัด มาเจอวัดชื่อเดียวกับตัวเราเอง บุญพาวาสนาส่งสะแล้ว
ยังไงก็ต้องเข้าไปทำบุญให้ได้  แม้ทางเข้าวัดจะดู มึนๆ งงๆ เล็กน้อย 




ไปถึงก็ต้องเดินลงไป สำรวจดูลู่ทางวัดดูสะก่อน หาที่ถวายสังฆฑาน ก่อนจะมาบอกให้ทุกคนลงไป
ไปวัดนี้ จะเดินขึ้นลงรถนี้ ต้องระวังมาก มีสติในการดูทางสุดๆ เพราะ อุนจิน้องหมาเยอะมาก
เผลอขาดสตินี้ เหยียบมาได้ต้องทำความสะอาดรองเท้ากันพลันเลยละ
มาวัดนี้ หลวงพ่อท่านก็ถามว่า พวกเรามาจากไหนกัน ก็ตอบท่านไปว่ามาจาก กทม. เจ้าค่ะ
เราถวายให้เสร็จ ก็มองหน้ากันว่าจะกลับกันละ  หลวงพ่อเลยบอก ให้เอาที่กรวดน้ำมา
แล้วท่านก็ให้พรพร้อมพรมน้ำมนต์ให้ แล้วเราก็กราบลา และเดินทางไปวัดถัดไป

ระหว่างเดินทางไปวัดนี้ พวกเราเลือกที่จะเข้าทางที่ไม่ใช่ทางปกติ  ดูน่าจะทุรกันดาน
แต่ด้วยความที่เข้าไปลึก นอกจากไม่เจอวัด บ้านคนก็แทบไม่ดี ดูช่างเปล่าเปลี่ยว
ความน่ากลัวเริ่มบังเกิด  เหมือนขับรถคันเดียวอยู่บนทางแคบๆ ห้อมล้อมด้วยทุ่งนา
ที่อุดมไปด้วยน้ำ อาจจะท่วมมิดถนนได้ ถ้ามีฝนลงมา  ยิ่งขับลึก ยิ่งไม่มีผู้คน
เลยตัดสินใจ ออกจากเส้นทางนี้ แล้วไปเส้นทางใหม่  แต่สิ่งที่ได้จากการที่เข้าเส้นทางนี้
คือประสบการณ์และความรู้สึก ภาพสวยๆ สงบๆ ที่มองดูช่างสบายตาเหลือเกิน



ชอบจริงๆ ทางเดินยากๆ ที่คนส่วนใหญ่ ไม่มา แต่สุดท้ายเราก็กลับไป ตามวัดสวยๆบ้าง 
ที่ๆเรามองเห็นก่อนหน้า เลยเข้าไปดู เป็นวัดไผ่ล้อม ดูสวยดี เลยขับเข้าไป น้ำท่วมที่วัดอีกแล้ว


เลยขับออกไปดูพระพุทธรูปองค์ใหญ่ และเจดีย์ที่สูงสง่า ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามวัด  



ทางเข้าวัดเป็นทางที่ทำถนน ทำร้ายรถพอสมควรเลย เริ่มสงสารน้องเนอร์ละ 
เลยขับออกไปอีกทาง ไปทางหลักอยุธยาแทน จะได้ออกจาก เส้นทางทำถนนเส้นนี้สะหน่อย
ขับไปเรื่อยๆ เจอวัดนี้ ชื่อดูเพราะจัง น่าเข้าไป ก็เลยแวะเข้าไปสักหน่อย
วัดกำแพงแก้ว 



เข้าไปก็ตามเสต็ป ส่งสปายน้อยแบบเราให้เดินไป สำรวจ หาพระ แล้วถามที่ถวายสังฆฑาน 
วัดนี้ดูแล้วน่าจะมีผู้คนมาทำบุญตลอด  คล้ายๆ สมัยเราเรียนตอนมัธยมเลย
หลวงพ่อคิดว่าเราจะเข้าห้องน้ำ เลยบอกท่านไปว่า มาถวายสังฆฑานเจ้าค่ะ
ท่านเลยบอกให้เข้าไปตรงไหน แล้วท่านก็เดินไปด้านใน
เราก็ไปตามพี่ๆ ลงไปทำบุญกัน  ก็ช่วยกันเอาของลงไปถวายสังฆฑาน 
เข้าไปถึงด้านใน  หลวงพ่อก็ให้เรากราบพระ ตั้งนะโม 3 จบ แล้วกล่าวคำถวายสังฆฑาน 
แล้วก็ให้เรากรวดน้ำ  ท่านก็พรมน้ำมนต์ตามพิธีการ เสร็จสรรพ  จากนั้นท่านก็สอบถามปกติ
มาจากที่ไหนกัน แล้วก็คุยไปเรื่อยกันอีกสักพัก ก่อนจะกราบลากลับ ท่านก็ให้พระคนละ 1 องค์ 
เป็นที่ระลึก และอวยพรให้พวกเราโชคดี  อิ่มบุญมีความสุข 
ที่วัดนี้มีทั้งอาหารปลา อาหารเต่า แวะมาเที่ยวทำบุญกันได้นะ บรรยากาศก็ดูดีเหมือนกัน 
ก่อนจะออกจากวัดนี้ เราก็ไม่ลืมที่จะหยอดเหรียญใส่ตู้ทำบุญ หลายๆตู้ เล็กๆน้อยๆ 
ที่มีความสุขจากการให้ ในครั้งนี้จัง  

ออกจากวัดนี้ ก็ขับรถเพลินๆ ไปเรื่อยๆ เข้าไปสวนสาธารณธ อุทยาน ท้าวสุรนารี มั่งท่าจำไม่ผิด
ก็ขับรถวนในนี้ บรรยากาศดีมากๆ ไม่ได้ถ่ายภาพมา มั่วแต่ชื่นชมบรรยากาศเพลิน 
ขับเพลินจนเจอตลาด ก็ให้พี่ แวะให้เราลงเดินไปซื้อของให้พี่ๆคนเดียว 
แล้วก็ให้พี่ไปวนรถมารับอีกที เดินหาของกินเพลินตาเลยทีนี้  ของเพี้ยบราคาไม่แพงเลย
ได้ลูกชิ้นกลับมา 10 ไม้ ในราคา 50 บาท ไก่แดง 9 ไม้ พร้อมข้าวเหนียว 2 ห่อ ในราคา 70 บาท 
ขนมอะไรไม่รู้ดูน่ากิน ห่อ 20 บาท  น้ำตาลสด 3 ถุง ราคา 30 บาท แตงโม 2 ลูก ราคา 35 บาท
ซื้อเยอะแยะขนาดนี้ เพิ่งจะ 205 บาทเอง   กินจนจุกท้องเลย อิ่มเกิน 555

ตอนนี้ก็จะเดินทางไป สำนักสงฆ์ไทรย้อย  มีจุดหมาย จะแวะไปเที่ยวชม ทำบุญสะหน่อย 
แต่ยังไม่วาย เจอวัดไหน ก็ขับไปดูเรื่อยๆ วัดไหนดูแล้ว อยากทำก็ทำ  
วัดไหนไม่อยากทำ ก็ขับออก เอาตามความสบายใจของทุกคน จะทำบุญก็ต้องสบายใจ
จิตก็ต้องเป็นกุศลตั้งแต่เริ่มจะทำเน้อ  ก็ได้แวะมาโดยบังเอิญ 

จำชื่อวัดไม่ได้ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้สะด้วยสิ
เข้าวัดนี้ก็ หลวงพ่อก็กล่าวถามด้วยคำถามเดิม มาจากที่ไหนกันละ และทำสังฆฑานในโอกาสอันใด
น่าจะเป็นคำถามปกติ หรือคำกล่าวทักทายได้เลยละ แต่ก็สุขใจแบบเรียบง่าย
กล่าวสนทนากับหลวงพ่อสั้นๆ แล้วก็ทำตามพิธีการถวายสังฆฑานเสร็จสรรพ 
จบด้วยการได้รับพรและพรมน้ำมนต์ พร้อมคำอวยพรดีๆจากหลวงพ่อ 
ก่อนไปด้านหน้ามี ที่ให้สักการะ พระเจ้าตากสิน จึงได้เข้าไปกราบไหว้ เล็กน้อยก่อนเดินทางกลับ

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมาย สำนักสงฆ์ไทรย้อย แต่ยังดูงงๆ พร้อมกับฝนฟ้าที่ดูมืดครึ้มมาก 
จึงตัดสินใจเดินไปสำรวจ ครู่นึง แล้วขึ้นลง พี่ก็บึ่งรถออกโดยไว 
แต่ฝนตกหนักมากเลยละ มันมาพร้อมกับพายุ ลมแรงมาก  
อารมณ์ประมาณฟ่าพายุฝนมาเลยละ ทั้งสายฟ้าผ่า ฝนตกหนัก จนขับรถได้ไม่เร็ว 
แต่ละคันต้องขับกันช้ามาก   เพราะลมแรงมากเลย แต่พอผ่านที่อยุธยา ฟ้าก็โปร่งใส 
เหมือนที่นี้จะยังไม่ตกเลยด้วยซ้ำ  พี่พูดขึ้นมาว่า หลังฝ่าพายุหนักย่อมเจอกับทางที่สดใส 
จริงเลย เหมือนชีวิตคนเรานะ ที่ต่อให้เจอกับอุปสรรคสะแค่ไหน ปัญหาหนักมากมายในชีวิต
แต่เมื่อผ่านพ้นกาลเวลาเหล่านั้นไป จะเดินช้าหน่อยในช่วงมีปัญหา หรืออุปสรรค 
แต่พอเดินผ่านมาได้ ก็ได้พบกับแสงสว่างที่รอเราอยู่ด้านหน้าเสมอ 

ช่างเป็นหนึ่งวันที่ฉันมีความสุขจริงๆ  การเดินทางที่คุ้มค่า 
ไม่ใช่สักแต่เดินทาง แต่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับทุกการเดินทาง 
เราจะได้พบกับเรื่องราวดีๆ ประสบการณ์ดีๆ ที่มีคุณค่าเสมอ 
รักการเดินทางเหลือเกิน  นักเดินทางตัวน้อยๆ ^^

@...Miiez...@