วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Come Back on my blog





ห่างหายจากการเขียนบล็อคไปหลายเดือน
วันนี้ตื่นเช้าในยามฝนพร่ำ อากาศดีงาม
เป็นเวลาที่น่าเขียนบันทึกอะไรลงไปจริงๆ

เวลาผ่านไป เมื่อเราเติบโตขึ้น
โลกจะสอนให้เรารู้จักว่า
ไม่มีสิ่งใดสำคัญ เท่ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณตอนนี้

เสียงหัวเราะที่ผ่านไป
น้ำตาที่ผ่านไป
รอยยิ้มที่ผ่านไป
ความโศกเศร้าที่ผ่านไป
ความสุขที่ผ่านไป
ความทุกข์ที่ผ่านไป

มันเป็นแค่ความทรงจำในอดีตที่พัดผ่านมา
แต่ตัวเราที่ไปยึดสุขทุกข์อดีตให้อยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

อดีตเลยสามารถกลับมามีพลังได้อีกครั้ง
ทั้งที่จริงแล้ว มันหายไปตามกาลเวลาของมันแล้วต่างหาก

นาฬิกา คือสิ่งที่บอกให้เรารู้ว่า
เวลาเดินหมุนไปข้างหน้าเสมอ เวลาไม่เคยเดินย้อนกลับ

มองนาฬิกา แล้วอย่าลืมย้อนมองนาฬิกาชีวิตเรา
เราไม่รู้หรอกว่า วันพรุ่งนี้ของเราจะมีอีกกี่วัน

อย่ามีชีวิตเพียงเพื่อมองหาวันพรุ่งนี้
แต่จงมีชีวิตเพื่อทำวันนี้ของคุณให้ดีที่สุด

วางแผนอนาคต แต่ใช่ต้องทุกข์กับสิ่งที่มาไม่ถึง
จงลงมือทำ ในทุกๆวันของคุณให้ดี
แล้วพรุ่งนี้ อนาคตของคุณก็จะดีเอง

เดินต่อไป....นักเดินทางตัวน้อยๆ
@...Miiez...@

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คำพูด


คำพูดมันมีความหมายมีพลังในตัวของมันเอง
ผู้คนใช้ถ้อยคำในการสื่อสารกัน



เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้สึก จินตนาการ และความคิดแก่กัน
ดังนั้นการใช้ถ้อยคำที่ไม่ทันคิด หรือคิดน้อย
อาจจะพลั้งเผลอที่สร้างความรู้สึกและจินตนาการแก่คนฟังโดยไม่รู้ตัวได้เฉกเช่นกัน

เจอผู้คนที่มาสอบถามหลายคนในเรื่องนี้
เล่าเหตุการณ์ที่เกิดให้ฟัง
บางครั้งถ้อยคำบางคำที่เราไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องผิด
แค่ฉุกคิดอยากจะพูดเพื่อเตือนสติอีกฝ่าย

มันก็กลับกลายไปสร้างรอยแผล
และเกิดเป็นความบาดหมางกัน
เพียงเพราะบางคำพูดกระทบกับจิตใจของคนนั้น
ถึงแม้บางครั้งจะเป็นความจริง
แต่พูดได้เลยว่า น้อยคนนักที่จะยอมรับความจริง
และจะยอมรับในสิ่งที่ตัวเองผิด

เพราะโดยพื้นฐานของจิตมนุษย์แล้ว
มักไม่ค่อยยอมรับความผิดตัวเองหรอก
และก็จะโกรธกริ้วโมโหที่มีคนมาพูดกับตนว่าไม่ดี
บางคนก็ดีดสะท้อนกลับให้เห็นในทันตา
ไม่ว่าจะทะเลาะวิวาทเพียงเพราะหนึ่งคำพูด
จึงสะท้อนคำพูดไปถึงสิ่งที่ไม่ชอบที่อีกฝ่ายกระทำ

บางคนก็เอาไปนินทาอีกฝ่ายว่าร้ายต่อหน้าทำพูดจาดี
เพียงเพราะไม่ชอบใจในหนึ่งคำพูดที่ว่ากล่าวตน

และน้อยคนนักที่จะเก็บคำพูดที่คนอื่นพูดในทางไม่ดี
ไปนั่งคิดพิจารณาและปรับปรุงนิสัยที่ไม่ดีของตน

ดังนั้นแล้วไซร้ คำพูดจึงเป็นหนึ่งในศาสตร์และศิลป์ที่ควรศึกษา
กับคนบางคนถึงจะสามารถพูดตรงๆได้
แต่ต้องรู้จักดูจังหวะและโอกาสด้วยเฉกเช่นเดียวกัน
กับบางคนนิ่งไว้เสียและปล่อยผ่านไปดีกว่า

มิฉะนั้นแล้วพูดแบบไม่ทันคิด
ก็อาจต้องเจอเหตุการณ์แบบไม่ทันตั้งตัวได้เช่นกัน

เป็นกำลังใจให้กับนักเดินทางทุกคน
เดินต่อไปนะ.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2561

การเดินทางผ่านห้วงเวลาความคิด


เวลาที่คนเราเดินทางผ่านห้วงแห่งกาลเวลาของความคิดไป
จะเห็นได้ว่า คนเราตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ



ด้วยจินตนาการโลดแล่นอยู่กับตัวเอง
ด้วยความคิดบางอย่างที่อยู่ในขณะประมวลผล

จิตที่มันนิ่งอยู่กับตัวเอง
มันมีคำถามปนสงสัยในบางสิ่ง
มันมีความกังวลในบางเรื่อง
มันมีความคาดเดาไปต่างๆนานา
จิตมันนิ่งคิด กายภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง

มันคือการเดินทางเข้าสู่ห้วงของกาลเวลา
นั่นคือเข้าสู่อดีตและอนาคต
จากเหตุการณ์ในอดีต สร้างภาพความกังวลในอนาคต
แล้วเกิดการคาดเดาไปต่างๆนานา
เกิดความสับสนในจินตนาการ
เกิดความฟุ้งซ่านในจิตใจ
เกิดความคาดหวังในอนาคต

เมื่อเราได้รับรู้ความเคลื่อนไหวทางอารมณ์ของจิตแล้ว
เราก็สามารถหยุดนึกคิดได้เพียงครู่เช่นกัน
แยกอดีต แยกอนาคต ตัดความกังวล
แล้วปล่อยให้ตัวเราเผชิญกับความจริงที่อยู่ตรงหน้า

การคาดการณ์ล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดี
แต่การคาดการณ์อย่างกังวลใจเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราทุกข์

แค่คาดเดาสถานการณ์ตรงหน้าว่าจะมีสิ่งใดเกิด
และเตรียมพร้อมจะรับกับหนทางที่เลวร้ายที่สุดในทางเดิน

แค่รู้ทางที่แย่ เตรียมรับมือ
แล้วโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แบบไร้กังวล
แค่นี้ก็ไม่น่าจะมีสิ่งใดมากระทบใจเราได้

เพราะรู้และวางเฉยเป็น
เข้าใจและเดินต่อไปข้างหน้า

ก็จะไม่ต้องกระวนกระวายใจหรือทุกข์ใจ
กับเรื่องบางเรื่องของชีวิต

ตามจริงแล้วสิ่งที่คนทั้งโลกเป็นทุกข์มิใช่สิ่งใดเลย
สิ่งนั่นคือ ความคิดของตัวเองทั้งนั้น
แล้วความคิดนี่แหละที่เป็นสิ่งกระตุ้นต่อมความรู้สึกต่อได้อีกที

จะหัวเราะ ร้องไห้ เศร้าหมอง
จุดเริ่มต้นจากประสาทสั่งการของสมองคนเรานั่นเอง
ซึ่งมันก็มาจากความคิด

แค่ใช้ความคิดให้เป็น
แล้วหยุดความคิดที่ทำร้ายตัวเองได้
จากความกังวล คาดหวัง สับสน ฟุ้งซ่านของจิต

สุดท้ายแล้ว แค่เพียงอยู่กับปัจจุบัน
เข้าห้วงกาลเวลาเพื่อใช้ความคิดคาดการณ์ไตรตรอง
ใช้สมองบางส่วนวางแผนแก้ปัญหาในสิ่งที่ยังไม่เกิด
แล้วเดินออกห้วงแห่งอดีตและอนาคต
กลับสู่ปัจจุบันกาล และดำเนินต่อไปอย่างไร้กังวล

ชีวิตคนเราก็แค่นี้เองล่ะ
เป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะ
เดินต่อไป...นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@


วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ความรัก It's Love


หลายคนมองหาความรักดีๆ
หลายคนเฝ้าฝันถึงความรักความอบอุ่นจากใครสักคน



แต่จะมีสักกี่คนที่จะเข้ามาเติมเต็มความรักความอบอุ่นในหัวใจให้กับเรา
เมื่อเจอความรักแล้ว โดยธรรมชาติของมนุษย์
มักมีความเป็นตัวตน อัตตาที่แต่ละฝ่ายยึดให้เป็น
จึงมักเกิดความไม่เข้าใจในสิ่งที่แต่ละฝ่ายเป็นในบางครั้ง

จะดีกว่าไหม ถ้าเราอยากมีความรักที่ดี
เราก็ต้องเริ่มจากการเป็นคนรักที่ดี
เพียงแค่ส่งใจออกไปเพื่อสื่อถึงใจอีกดวง
แล้วใช้หัวใจฟังเสียงใจอีกดวงเพื่อเชื่อมใจสองเข้าด้วยกัน

ความรักจะค่อยๆก่อเกิดขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆ
ค่อยๆทลายกำแพงที่แต่ละฝ่ายสร้างกั้นขึ้นมา
ทำให้เห็นใจแต่ละฝ่ายมากขึ้น

กอดด้วยหัวใจมันอบอุ่นใจมากกว่าใช้กายกอดเสมอ
เพราะแม้อยู่แห่งหนใดแต่หัวใจอยู่ชิดใกล้กัน
ไม่ต้องกังวลใดใด ไม่หึงหวง เข้าใจกัน ไว้ใจกัน
เป็นห่วงบางเวลา คิดถึงในทุกๆวัน ใส่ใจกันในทุกๆวัน
และอมยิ้มเวลาคิดถึงกันและกัน

อารมณ์ที่อยู่ในห้วงของความรักที่เข้าใจกัน
มันเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตมีความสุขและโลกสดใสไปได้เอง

และความรักมันจะดีได้ มันต้องใช้หัวใจสองดวง
ที่ใส่ใจกัน เข้าใจกัน ไว้ใจกัน และอภัยให้กันและกัน
เพียงแค่เรากระทำต่อกันแบบนี้

ขอโทษในทุกๆครั้งที่ทำผิด
ขอบคุณในยามที่ได้รับสิ่งพิเศษที่แต่ละฝ่ายมอบให้
เปิดใจคุยกันตรงๆในเวลาที่ต้องการคำตอบบางสิ่ง

หันหน้าเข้าหากันในยามมีปัญหา ไม่หนีหาย
ไม่ทิ้งให้อีกฝ่ายต้องจมอยู่กับความทุกข์ร้อนใจ
แต่ช่วยกันคลายใจไปด้วยกัน
อีกฝ่ายร้อนจงเป็นน้ำเย็นอยู่รับฟังด้วยใจ
อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่แต่จงใช้เหตุผลในการคุยกัน

ไม่พูดประชดประชัน
เพราะนั่นคือการบั่นทอนจิตใจอีกฝ่ายให้รู้สึกด้อยค่า
และฝ่ายที่ถูกกระทำจะไม่อยากยืนอยู่ข้างกาย
เนื่องจากรู้สึกว่าตนนั่นไม่ดีพอสำหรับคนรัก

พร้อมเตือนอีกฝ่ายด้วยใจเมตตาในยามอีกฝ่ายทำผิด  
เพราะคู่คิดที่ดีไม่ควรสร้างนิสัยเสียให้อีกฝ่ายทำสิ่งไม่ดีอยู่เป็นนิจ
และอีกฝ่ายก็อย่าพึงโกรธในยามที่อีกฝ่ายเตือน
มิฉะนั้นจะกลายเป็นคนเอาแต่ใจและไร้ซึ่งเหตุและผล

ความรักที่ดีจะก่อเกิดได้เพียงแค่
ใส่ใจกันทุกๆวัน ก็เพียงพอ เข้าใจในโลกแต่ละใบ
พร้อมอยู่เคียงข้าง ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในทุกๆวัน
จะค่อยๆก่อร่างสร้างตัวเป็นความอบอุ่นใจและสบายใจที่อยู่เคียงกัน

นี่สิน่ะ ที่เค้าเรียกว่า...ความรัก

@...Miiez...@

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ชีวิตเรียบง่าย


ชีวิตมนุษย์ตามจริง แค่ใช้ชีวิตเรียบง่ายก็มีความสุขได้แล้ว
แต่ผู้คนมักไปสร้างกรอบ กฏเกณฑ์มากมาย ให้ชีวิตมันยุ่งยาก



ไม่ว่าจะ ฉันจะต้องมีชีวิตที่ดูดี ฉันถึงจะมีความสุข
ฉันจะต้องไปที่นู่นนี่นั่น ฉันถึงจะมีความสุข
ฉันจะต้องไม่ทำให้คนอื่นพูดถึงในทางไม่ดี ฉันถึงจะมีความสุข
ฉันจะต้องทำตัวแบบนี้ เค้าถึงจะสนใจฉันและฉันจะมีความสุข
ฉันจะต้องร่ำรวยเงินทองมากมาย ฉันจึงจะมีความสุข
ฉันจะต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ฉันถึงจะมีความสุข

สุดท้ายแล้ว ก็สิ่งที่ไปแบกไปยึดไว้ทั้งหมดนั่นแหละ
เป็นตัวก่อให้เกิดความสุขลดน้อยลงนะ

เพราะการได้ใช้ชีวิตแบบเรียบๆง่ายๆ
มีอิสระในความคิดและการกระทำ
ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนกับการกระทำของเรา
เราก็มีความสุขกับชีวิตแล้วล่ะ

คนนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องปกติ
แต่สิ่งที่เราเป็นเรารู้ดีอยู่แก่ใจ

เกียรติที่คนอื่นมอบให้เรานั่น คือความคิดของคนอื่น
แต่ดีกว่าไหม ที่เรามีเกียรติและศักดิ์ศรีในแบบที่เราเป็น
แล้วเราก็มีความสุขกับสิ่งที่เป็นเรา

จะไปแบกสิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็นทำไม
จะไปแบกสิ่งที่คนอื่นคิดกับเราทำไม
จะไปแบกความคาดหวังของคนอื่นทำไม

ก็ในเมื่อตัวเราเป็นของเราแบบนี้
ก็จงใช้ชีวิตแบบที่เรามีความสุขและเป็นตัวเราเองก็พอแล้ว

ชีวิตเป็นของเรา จงเรียนรู้ชีวิตในแบบที่เราเป็น
และเราต้องมีความสุขในแบบที่เป็นเราด้วย

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

พลังงานพิเศษในตัว


พลังงานพิเศษในตัว จะมักมาใน 2 ช่วงจังหวะของอารมณ์
คือ ช่วงจังหวะถูกกดดันสุดขีด กับ ช่วงพลังใจเต็มร้อย



หรือถ้ามองแล้วก็คือ

ภาวะถูกกดดัน จะถูกเปลี่ยนจากพลังงานขั้วลบในตัวเอง
เพื่อสร้างความสามารถพิเศษ และดึงสุดกำลังที่เรามี
ส่วนใหญ่แล้วมักจะเห็นได้บ่อยจากคนที่สำเร็จ
ที่ถูกกดดันจากสิ่งรอบข้าง สิ่งเร้าต่างๆในชีวิต
อาจจะดึงจากพลังงานขั้วลบ แรงดูถูก กดดันมารวมกัน
แล้วสร้างศรัทธาในตัวเองว่า ฉันไม่ใช่แบบนั้น
พลังความสามารถพิเศษในตัวเองจึงโผล่ออกมา

ส่วนอีกภาวะหนึ่ง ช่วงพลังใจเต็มร้อย
เป็นภาวะดีใจสุดขีด กำลังใจมาเต็ม เหมือนมีคำเปรียบเปรยไว้ว่า
เสียงตบมือยังทำให้ปลาโลมากระโดดขึ้นมาจากน้ำได้
นั่นล่ะค่ะ คำพูดกำลังใจจากคนที่มีส่วนสำคัญในหัวใจ
เหมือนมาเติมเต็มความเชื่อมั่นศรัทธาในหัวใจที่เรามี
พลังใจส่งถึงอีกหนึ่งพลังใจที่ยิ่งใหญ่ สร้างเป็นพลังความเชื่อและศรัทธา
เป็นพลังงานบวกที่สามารถทำให้อยากสร้างสิ่งที่ดีงามมากกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่
มันคือศรัทธาแห่งความหวัง ที่ก่อให้เกิดพลังในใจ

หากอยากจะดึงพลังวิเศษจากใครสักคน
ก็ลองเลือกดูว่าจะดึงพลังเหล่านั้นออกมาแบบไหน

@...Miiez...@

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เวลาของการตัดสินใจ


เวลาของการตัดสินใจ เป็นจุดที่ทำให้คนคิดมากที่สุด
เพราะในทุกการตัดสินใจของคน
มันมีทางแยกให้เราก้าวเดินเสมอ



มันมีทางเลือกให้เราเดินไป
เมื่อมีทางเลือกแสดงว่า มันมีอีกเส้นทางที่เราต้องตัดทิ้ง

โดยปกติของคนส่วนใหญ่จะชั่งใจอยู่นาน
สมองมนุษย์ก็จะตกอยู่ในภวังค์ของความกลัว

เพราะเมื่อต้องเลือกเส้นทางหนึ่ง อีกเส้นทางจะหายไป
แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิต

ความกลัวคือสิ่งขัดในการเปลี่ยนแปลง
เพราะเมื่อเกิดความกลัวจะไม่กล้าก้าวเดินไปในเส้นทางใหม่

ต้องอาศัยความกล้าที่จะทำสิ่งแปลกใหม่
เพื่อให้เกิดผลลัพท์แบบใหม่ในชีวิต
และต้องรู้จักยอมรับในทุกผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้น

เพราะทุกการตัดสินใจ ทุกเส้นทางที่เราเลือกเดิน
ไม่ใช่ว่าเส้นทางตรงนั้นมันจะสวยหรู ดูดีอย่างที่เราคิดเสมอไป
มันอาจจะแย่และเลวร้ายมากกว่าจุดที่เราอยู่
มันอาจจะสวยหรูดูดีกว่าที่เราคิด
ดังนั้นจงยอมรับกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง

ผลลัพท์มันก็มีแค่ 2 ทางนั่นแหละ
แต่ยังไงสิ่งที่เราจะได้ในทุกเส้นทางที่เราเลือกเดินในทุกทางแยก
นั่นก็คือประสบการณ์และการเรียนรู้นั่นละ

ดังนั้นถ้าไม่ก้าวเดิน อยู่บนทางเดิมๆ
เราก็จะได้พบกับหนทางเดินประสบการณ์เดิมแบบที่เป็น
แต่พอเราเลือกออกจาะโซนเดิมที่เราอยู่
เลือกออกไปหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่

แน่ล่ะมันมีทั้งร้ายดีเข้ามาให้เราได้วิ่งซุกซน
มันมีสิ่งแปลกใหม่ให้เราได้เรียนรู้ตลอดเวลา
มันมีสิ่งที่เราชอบไม่ชอบให้ได้พบเจอเสมอ

มันคือการเดินทางของชีวิต
คิดจะมีผลลัพท์ที่ใหม่ในชีวิต
ก็จงใช้ชีวิตแบบที่เราอยากจะเป็น
อย่าให้สิ่งใดมาเป็นข้ออ้างในใจเรา

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

สันดาน


ผ้าที่ดูมีคราบเลอะยิ่งทิ้งไว้นาน
ยิ่งซักล้างออกได้ยาก



เปรียบเสมือนกับนิสัยของมนุษย์
ยิ่งเรากระทำสิ่งใดเป็นนิสัย
จนกลายเป็นความเคยชินและติดพัน
หรือหลายคนเรียกสิ่งนั้นว่า "สันดาน"

จะปรับเปลี่ยนสันดาน
ก็ต้องใช้ระยะเวลาและความอดทน
ในการจะขัดเกลาบางสิ่งที่เป็นความเคยชินออกไป

เพราะสิ่งใดที่อยู่นาน
เราจะหลงคิดว่าพึงใจในการทำสิ่งนั้น
จนเผลอกระทำสิ่งนั้นอยู่ซ้ำๆ

ถ้าเราทำดีอยู่เป็นนิจเราก็จะก่อกรรมดี
ถ้าเราทำไม่ดีอยู่เป็นนิจเราก็จะก่อกรรมไม่ดี

จงก่อร่างสร้างนิสัยที่ดีงาม
ดีกว่าก่อร่างสร้างนิสัยที่หยาบกระด้าง
ให้เป็นสันดานในจิตใจ


เราเลือกได้ว่าจะพึงมีนิสัยเฉกเช่นไร
แค่มีสติพึงระวังความคิดและการกระทำ
ก็จะช่วยขจัดขัดเกลานิสัยที่หยาบกระด้างของเราได้ลง

นิสัยตนสะท้อนความคิดในจิตตน
สันดานคนสะท้อนสิ่งที่เป็นในผู้นั้น

มองคนจงมองที่สันดาน
เพราะนั่นคือสิ่งสัมพันธ์ถึงตัวตน
.................................................
เขียนโดย น้องใหม่

แนวคิดสร้างชีวิต

ถ้าคุณคิดว่าคุณดวงตก คุณก็จะดวงตก
ถ้าคุณคิดว่าคุณดวงดี คุณก็จะดวงดี 


บางคนชอบดูดวง อ่านดวง
อยากหยั่งรู้อนาคตกาลข้างหน้าของตัวเอง
จนหลงลืมคิดไปว่า สิ่งที่ทำอยู่ทุกวัน
นั่นละคือสิ่งที่จะส่งผลไปในอนาคตกาลของคุณเอง

อย่าให้ใครมาชี้สร้างความเชื่อในอนาคตของคุณ
แต่จงสร้างความเชื่อและศรัทธาจากตัวคุณเอง

บางครั้งหลายสิ่งไม่ดีไปโทษที่ดวง 
มากกว่าโทษที่ตัวเอง 
การพัฒนาในตัวเองจึงหายไป 

สิ่งแวดล้อมอาจจะมีผลในการปรับเปลี่ยน 
แต่สิ่งที่คุณคิดนั่นแหละที่ชี้ทางในสิ่งที่คุณเป็น 

แค่คิดให้เป็น ชีวิตก็เปลี่ยนได้ตามเส้นทางที่คุณคิดแล้วนะ 
อย่าปล่อยให้จิตสร้างความคิดให้เป็นกับดับ
ที่จะติดกับจมปรักในสิ่งที่ผ่าน 

แต่จงสร้างความคิดให้เป็นแนวทาง 
แผนที่อนาคตกาลที่คุณจะเดินไป 
ถ้าคุณมีศรัทธาความเชื่ออันแรงกล้า 

ต่อให้มีอุปสรรคมากมายจะไม่ถอย 
ท้อได้แต่อย่าถอย 
เส้นชัยที่จะไปถึงขึ้นอยู่กับศรัทธาที่คุณมี 

ถ้าเชื่อในปลายทาง เชื่อในเส้นทางที่คุณเดินไป
ถ้าเชื่อว่าคุณทำได้ ถ้าเชื่อในตัวเอง 
จงลงมือทำ ลงมือทำ ตามสิ่งที่คุณเชื่อ 
แล้วเส้นชัยจะอยู่ไม่ไกลเกินหยิบมือเอื้อม

เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังออกเดินทาง สู้ๆนะ

@...Miiez...@

ความเชื่อมั่นและศรัทธา คือสิ่งนำพาไปสู่จุดมุ่งหมาย
แค่คุณมีศรัทธาในตัวเอง คุณมีความเชื่อในสิ่งที่คุณทำอยู่



คุณมีเป้าหมายในเส้นทางเดินข้างหน้า
และเชื่อมั่นว่า คุณทำได้ คุณทำได้ คุณทำได้
แล้งลงมือทำตามสิ่งที่คุณทำทุกวัน ทำให้สุดแรงกล้าที่คุณมี

ขอแค่อย่าหมดศรัทธาในตัวเอง
แม้หนทางที่เดินอาจจะยังไม่ถึงจุดหมาย
แม้ระยะทางอาจจะดูยาวไกล
แม้เสียงรอบข้างอาจจะบอกว่าอย่าเดิน

จงเชื่อมั่นในตัวเอง
จงกล้าเดินตามแรงศรัทธาที่คุณมี
จงแกร่งในทุกครั้งที่คุณเจอกับปัญหา
และจงอย่าหยุดเดินเพื่อให้คุณสานไปถึงเป้าที่คุณวาง

ไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้างว่าอย่างไร
จงสนใจเสียงหัวใจของคุณเอง
เสียงที่ดังกึกก้องข้างในหัวใจ
ว่ามันบอกเช่นไรกับใจคุณ

แค่มีศรัทธา แค่มีความเชื่อในตัวเอง
และก้าวเดินตามแรงศรัทธาในใจคุณ
เส้นชัยที่ปลายมั่นก็อยู่มิไกลเกินเอื้อมแล้ว

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561

เปลี่ยนเลนส์ภาพในการมอง


เลนส์ภาพ หรือเลนส์ความคิดในการมองสิ่งใด
มันจะสะท้อนกลับไปยังความรู้สึกและการกระทำ



หลายครั้งที่เราอาจจะไม่พึงใจในการกระทำของผู้ใด
หลายครั้งที่เราอาจจะไม่พึงใจในสิ่งที่ได้รับ
หลายครั้งที่เราอาจจะไม่พึงใจในสิ่งที่เห็น

เราก็แค่เปลี่ยนเลนส์ภาพในการมองออกไปเท่านั้นเอง
หรือเรียกง่ายๆว่า "เปลี่ยนเลนส์ความคิด"

เราปรับที่ใครอื่น มันเป็นสิ่งที่ปรับยากสุดแล้วละ
เพราะนั่นคือการคาดหวังให้คนอื่นเป็นดั่งใจเราคิด

สิ่งที่ปรับง่ายสุดคือปรับที่ตัวเราต่างหากล่ะ
ปรับเลนส์ภาพในการมองออกไป

หยิบเรื่องมาใส่ใจให้ถูกเรื่องก็พอแล้ว
เรื่องใครอื่นคือเรื่องคนอื่น มิใช่เรื่องของเรา
เหตุใดเล่า มนุษย์ถึงมักทุกข์กับความคิดของใครอื่น

ความคิดมนุษย์คือสิ่งที่ยากแท้จะหยั่งถึง
เพราะมนุษย์มีการปูพื้นความคิดมาต่างกัน
เหตุและผลของการเป็นคนของแต่ละคน
จึงมีมุมมองที่ต่างตามประสบการณ์ที่เจอมา

ต่อให้คุณคาดเดาไปสะมากมาย
นั่นก็เป็นเพียงสมมติฐาน หาใช่ความจริงไม่
แล้วจะเอาอะไรกับความคิดคนอื่นกันละค่ะ

อย่าเอาสิ่งที่ตัวเองเป็นมาชี้วัดสิ่งที่คนอื่นเป็น
เพราะนั่นแสดงว่าคุณกำลังใช้ตัวเองตัดสินคนอื่น
และจะเผลอมองข้ามสิ่งที่คนอื่นเป็นไปทางด้านลบมากกว่าบวก

แค่เปลี่ยนเลนส์ในการมองแค่มองดูพินิจ
แล้วจะเข้าใจคำว่า "โลก"  และ "ผู้คน"
สิ่งสะท้อนที่มองให้เห็นคำว่ากรรมและสัจธรรม

โลกของผู้คนมากมายที่เรามองเห็นในสายตา
ก็ไม่ต่างจากโลกของละครที่ไว้มองย้อนดูตน

สิ่งใดดีงามก็น้อมพึงดูและปฏิบัติตาม
สิ่งใดดูมิดีงาม ก็มิควรส่งเสริมและพึงปฎิบัติ

การมองให้เห็นโลกแบบเข้าใจ
เราจะสุขใจได้แบบไม่ต้องทำอะไรเลย

ในบางครั้งจะอมยิ้มกับตัวเองเบาๆโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
กรรมคือการกระทำ
กรรมสะท้อนกลับ ก็คือกรรมจากตัวเราที่ส่งออกไปนั่นเอง

สายตาอาจจะมองเห็นภาพดีบ้างไม่ดีบ้าง
หูอาจจะได้ยินถ้อยคำพึงใจหรือไม่พึงใจ
จมูกอาจจะได้กลิ่นที่หอมบ้างเหม็นบ้าง
ลิ้นอาจจะลิ้มรสอาหารถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้าง
กายอาจจะสัมผัสร้อนบ้างเย็นบ้าง

แต่หัวใจเราคุมทุกสิ่งออกไปให้ดีได้
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตเราปรุงแต่งนั่นแล

-------------------------------------------------------------
เขียนโดย.....น้องใหม่

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

อารมณ์สีเทา


อารมณ์สีเทา เชื่อว่าทุกคนคงเคยมีและเคยเป็น
แต่ถ้าเราอยู่ในช่วงอารมณ์สีเทานานเกินไป
โลกทั้งใบอาจจะดูไม่น่าสุนทรีย์กับตัวเรา



แต่พอเรามองออกไปรอบๆกาย
เราเห็นสีสันมากมาย รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ
นกกา จับเจ่า ร้องเพลงให้ฟัง
สายลมที่พัดผ่านมาทักทาย
ท้องฟ้าที่ส่องแสงสว่างให้เราในทุกวันไม่เคยพร่ำบ่น
สายฝนที่ตกลงมาให้เย็นชุ่มช่ำกายและใจ
สายหมอกยามเช้าที่แวะมาทักทายในทุกวันอยู่ที่เราจะตื่นทันมาทักตอบหรือไม่

เห็นไหมค่ะ  สิ่งดีๆมากมายมีอยู่รอบตัวเรา
อยู่ที่เราจะมองเห็นสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

อย่าปล่อยให้อารมณ์เราเป็นดั่งพายุร้าย
เพราะหลังพายุสงบลงไป แม้มันจะกลับมาสวยงามอีกครั้ง
แต่เจ้าพายุร้ายมันก็ได้ทำลายสิ่งดีๆข้างกายไปด้วยเสมอ

จงหยุดพายุอารมณ์ด้วยสติ
และปลอบหัวใจของพายุร้ายด้วยความเมตตาและอภัย
เจ้าพายุมันก็จะยอมสงบลงแต่โดยดี
เพราะพายุร้ายมันมักแพ้พ่ายให้กับใจที่เมตตาและอภัยนั่นเอง

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@


วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561

สีที่แต่งแต้มใจเรา คือตัวเราที่เป็น


เชื่อไหมว่า คนเราเสพสิ่งไหนทุกวัน
เราจะถูกซึมซับสิ่งนั้นโดยไม่รู้ตัว



มิตรภาพที่อยู่ข้างกาย คนรอบข้าง หนังสือที่อ่าน
สื่อที่เลือกเสพ และบุคคลที่เรามองเป็นแบบอย่าง
มันมีผลกับการเป็นตัวเราในทุกวันนี้

บางครั้งโชคชะตาอาจจะเล่นตลกกับเราในชีวิต
ที่ทำให้เราต้องพบเจอเรื่องราวไม่ดี
เพื่อทดสอบจิตใจเราที่มีว่าเราเข้มแข็งแค่ไหน
แล้วเราจะผ่านสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร

ไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะไม่เคยพบเจอเรื่องราวที่ไม่พึงใจ
และไม่มีใครในโลกใบนี้ที่จะพบเจอเรื่องราวพึงใจตลอด

สมองของมนุษย์แบ่งแยกเป็น 2 ซีก คือสมองฝั่งขวาและฝั่งซ้าย
จิตใจของมนุษย์ก็มีทั้ง นางฟ้าและซาตาน
โลกของมนุษย์ที่มองออกไป จึงมีทั้งโลกสีขาวและโลกสีดำ

ในบางเวลาที่ทุกสิ่งดูไม่เป็นใจ
ลองมองหาโลกใบสีขาวเพื่อเป็นแสงสว่างนำทางในชีวิต
อย่ามั่วจมปักกับโลกสีดำที่ดูมืดมิดและไร้หนทาง

โลกสีขาวโลกสีดำ แค่ใจเราเลือกหยิบสิ่งไหนมาใส่ใจ
ภาพของโลกก็จะเปลี่ยนไปในชีวิตคุณได้เอง

อยากให้ชีวิตมีภาพสีขาวเยอะๆ เราก็แค่แต้มสีขาวลงไปในชีวิต
เพื่อให้สีขาวมันแทรกซึมไป โลกใครที่สีดำมืดมิด
ลองค่อยๆแต้มสีขาวลงไปทีละนิด แต้มไปเรื่อยๆ
โลกที่เต็มไปด้วยสีดำอันมืดมิดก็จะสว่างสดใสเป็นโลกสีขาวไปได้เอง

ชีวิตคนเราอยู่ที่เราจะแต่งแต้มสีในชีวิตเราให้เป็นอย่างไร
ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะหยิบสีไหนมาใส่ใจ

ใครหยิบยื่นสีดำมาให้เรา ไม่เท่ากับเราหยิบสีดำมาทาตัวเราเอง
และเฉกเช่นเดียวกัน
ใครหยิบยื่นสีขาวมาให้เรา ถ้าเราไม่หยิบสีขาวมาทาตัวเรา
โลกของเราจะกลายเป็นสีขาวได้เฉกเช่นไรกันคร้า

เห็นไหมค่ะ สิ่งรอบตัวมีผลก็จริง แต่สิ่งที่มีผลกับทุกสิ่งที่สุด
คือตัวเราค่ะ ที่จะหยิบสีไหนมาแต่งแต้มสีสันในชีวิตเรา

ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร ชีวิตเราเลือกได้ทั้งนั้น
ว่าเราจะเดินไปทางไหน และแต่งแต้มสีในชีวิตให้เป็นเช่นไร

เป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะค่ะ
เดินต่อไป........นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

สังคมก้มหน้า


สังคมก้มหน้า เกิดขึ้นในยุคนี้
พฤติกรรมมนุษย์ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย



ตื่นเช้ามาก็หยิบมือถือ เช็คไลน์ ส่องเฟสบุ๊ค อ่านทวิสเตอร์
จะเข้านอนก็ต้องหยิบมือถือมาดูก่อน 
บางคนนี้สิงกับมือถือ ขาดไม่ได้ ยิ่งกว่าอาหารเสียอีก


เพราะยุคนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
การสื่อสารของมนุษย์ก็ปรับช่องทางให้ไวขึ้น
และด้วยความไวในการสื่อสารนี้เองทำให้
มนุษย์ใจร้อนขึ้น สมาธิสั้นลง โดยไม่รู้ตัว

ลองปรับเวลาในการจับมือถือเล่นโซเซียลให้น้อยลง
เราจะรู้สึกได้ทันทีว่าเรามีเวลาในชีวิตมากขึ้น

บางคนทำงานทุกอย่างผ่านจอเล็กๆในมือถือตลอดเวลาเลย
อันนี้สิ่งที่จะตามมาคือ สายตาจะสั้นลง และพร่ามัว
บางทีใช้สายตามากเกินไป สายตาก็อ่อนล้าโดยไม่รู้ตัว
ส่งผลในระยะยาวได้อีก อาการปวดหลัง ไหล่และปวดกล้ามเนื้อช่วงคอจะตามมา

ลองปรับไปทำงานผ่านจอคอมเป็นหลัก ยังไงก็ดีกว่า
แล้วใช้มือถือแค่เป็นส่วนเสริมในการทำงาน ช่วงระหว่างเดินทาง
ก็จะช่วยในเรื่องสุขภาพได้มากขึ้น

แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้เลย แนะนำควรบริหารสายตา
บริหารกล้ามเนื้อช่วงไหล่ คอ
แล้วก็ควรหาเวลาพักสายตาจากจอมือถือเป็นระยะๆ
ไม่จ้องหน้าจอมือถือนานเกินควร ก็จะช่วยได้ในส่วนหนึ่ง

แบ่งปันเวลา สัดส่วนดีๆ เราก็จะมีเวลาทำอะไรอีกเยอะเลยละ
ลดช่วงเวลาเล่นโซเซียลให้น้อยลง
เอาเวลาส่วนพักผ่อน ยามว่างเล่นโซเซียลสักครึ่งหนึ่ง
ลองมาออกกำลังกาย  อ่านหนังสือ หาดูหนังสักเรื่องให้ผ่อนคลายสมอง
หรือจะเป็น หากิจกรรมยามว่างทำ อย่าง วาดรูป ร้องเพลง ทำอาหาร เป็นต้น

เห็นไหมละว่า เราจะได้ เวลาสร้างความสุขในชีวิตจริงเพิ่มขึ้นมา
แทนที่จะมีความรู้สึกไปกับแค่ เสพเรื่องราวใครอื่นในโซเซียล
มีทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดีมาให้อ่านได้ทุกวัน

แบ่งเวลาให้ดี เราจะมีชีวิตอิสระในแบบที่เราสร้างได้
อย่าใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อทำงาน
อย่าใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อความสนุก
อย่าใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อเสพสุข
อย่าใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อหลับใหล
อย่าปล่อยเวลาที่ผ่านชีวิตเราไปอย่างไร้ค่า
แต่จงทำชีวิตให้มีคุณค่า และมีความหมาย ในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว

เดินต่อไป......นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

นิทานสอนใจ เรื่อง ยายดีกับตามี


ใกล้ชิดมองเลยผ่าน มองเห็นแต่สิ่งไกล
ในหลายๆครั้งที่เรามักมองเห็นสิ่งดีในที่ไกล
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดของใครอื่น



ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดก็ขอเล่าเป็นนิทานสอนใจเรื่องหนึ่งให้ฟังแล้วกันนะ

เรื่อง ยายดีกับตามี

ตามีกับยายดี 2คนตายายทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆ โดยในแต่ละวัน ยายดีดูแลร้านอยู่ที่บ้าน
ตามีจะต้องออกจากบ้านไปหาลู่ทาง หาเพื่อน สังสรรค์ พบปะเจอผู้คน
ในแต่ละวันที่ตามีกลับบ้าน ตามีมักจะกลับมาบอกเล่าเรื่องราวดีๆของคนอื่นให้ยายดีฟังทุกวัน

ไม่ว่าจะ ยายดี วันนี้ คนนั้นพูดจาดีกับตามากเลย
ยายดี วันนี้ นายนั่นเลี้ยงมื้อเที่ยงตาด้วยละ
ยายดี วันนี้ เพื่อนๆกล่าวชมตาด้วยละ
ยายดี วันนี้ คนนั่นให้ของตามาด้วยละ
ยายดี วันนี้ คนนั่นสอนตาทำนู่นนี่นั่นด้วยละ
ยายดี วันนี้ เจอคนนั่นสวยมากเชียวละเก่งด้วย
และอื่นๆ อีกมากมาย

ตาเล่าเรื่องราวที่เจอให้ยายดีฟังทุกวันอย่างมีความสุข
และในทุกครั้ง ยายดีก็ได้แต่ยิ้มรับฟังตามีพูด แล้วปรนนิบัติตามี หลังจากนั้นเสมอ

จนวันหนึ่ง อยู่ๆ ตามี ก็กลับมาด้วยหน้าตาโกรธเกี้ยว หงุดหงิด ไม่สบอารมณ์
เหมือนคนที่มีความทุกข์ถนัด ยายมีจึงเข้าไปหาใกล้ๆ
แล้วเอ๋ยถามด้วยเสียงเบาๆ ว่าตาจ๋า ตาเป็นอะไรหรือเปล่า ดื่มน้ำหน่อยนะ จะได้ผ่อนคลายขึ้น
ตามี สะบัดน้ำที่ยายดียื่นให้ หล่นลงพื้นต่อหน้ายายดี
พร้อมคำพูดที่ยายดีไม่คิดว่าจะได้ยิน "ทำไมยายดีไม่เห็นเหมือนเมียคนอื่นของเพื่อนตาเลย
ทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ไม่ใช่แค่นั่งฟังแล้วยิ้มโง่ๆอยู่ทุกวันแบบนี้ "

หลังจากตามีพูดจบ ยายดีน้ำตาคลอ พร้อมกลั้นน้ำตาและเดินออกจากที่ตรงนั้น
ส่วนตามี ด้วยความที่โมโห ก็เดินหนีเข้าห้อง ปิดประตูขังตัวเองไว้
ยายดีไปเคาะประตูหลายรอบ ก็ได้ยินเพียงเสียงตะโกนตอบกลับมาว่า "อยากอยู่คนเดียวโว้ย"

ยายดีจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง มีเนื้อความว่า
ตาจ๋า ยายขอโทษนะ ที่ยายทำได้แค่นี้

ยายไม่ได้พูดจาคำไพเราะตลอดเวลาแต่ที่ยายมีให้คือความจริงใจ
ยายไม่ได้แต่งหน้าสะสวยให้ตาดูทุกวันเพราะยายเชื่อว่าตาไม่ได้เลือกยายที่หน้าตา
ยายไม่ได้เก่งฉลาดแบบตา เพราะยายนับถือตาเป็นฮีโร่ของยาย
ยายไม่ได้ทำอะไรพิเศษมากมาย เพราะยายตั้งใจทำทุกสิ่งให้กับตาเสมอ

ขอโทษนะที่รสมือยาย อาจจะไม่ดีเท่า รสมือใครอื่น
ขอโทษนะที่หน้าตายาย อาจจะไม่ดีพอ ถ้าเทียบเท่ากับใครอื่น
ขอโทษนะที่คำพูดยาย อาจจะไม่หวานเสนาะหู เหมือนใครอื่น
ขอโทษนะที่ความคิดยาย อาจจะคิดได้ ไม่ฉลาดเท่า กับใครอื่น
ขอโทษนะที่สิ่งที่ยายทำให้ทุกวัน อาจจะไม่ดีเท่า กับใครอื่น

ถ้าสิ่งสุดท้ายที่ยายทำให้ตาได้คงมีแค่สิ่งเดียว
ให้ตามีความสุขในแบบที่ตาเป็น
ณ วันนี้ ยายคงไม่ใช่สิ่งมีค่าที่ตาเคยมองเห็นอีกแล้ว
แต่ตายังคงเป็นสิ่งวิเศษในใจยายเสมอ

ดูแลตัวเองด้วยนะ ตามี
จากยายดี

ยายทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งด้วยคราบน้ำตา และเดินทางออกจากบ้านในตอนเช้าตรู่อีกวัน
ตามีตื่นเช้ามาเรียกหายายดี เพราะปกติจะมีสำรับอาหารเช้า และเสียงปลุกจากยายดี
แต่วันนี้ไม่มี ตามีเดินตามหายายดีทุกซอกทุกมุมของบ้านก็ไม่พบ
พบแต่จดหมายพร้อมสร้อยคอล็อคเก็ตอันหนึ่ง

ตามี รีบหยิบจดหมายฉบับนั่นมาอ่านทันที พร้อมหยิบล็อคเก็ตกำไว้ที่มือแน่น
น้ำตาลูกผู้ชายได้หยดลงบนจดหมายฉบับนั่นอีกครั้งหนึ่ง
ตามีอ่านจบ ปาดน้ำตาแล้วรีบออกเดินทางไปบ้านแม่ยาย

แต่พอใกล้ถึงบ้านแม่ยาย มีตำรวจ และผู้คนหนาแน่น ตามีก็สงสัยว่ามีอะไร
พอเดินเข้าไป ตามียืนนิ่งเหมือนทุกอย่างพลันหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะ
เพราะ หญิงสาวที่นอนบนพื้นด้วยกองเลือดนั่นคือยายดี

ตามีวิ่งกรูเข้าไปพร้อมน้ำตาเดินถลาหาร่างยายดี ตะโกนสุดเสียงใจความว่า ยายจ๋าตาขอโทษ
ตาขอโทษนะยายจ๋า  ยายตื่นมาคุยกับตาก่อนสิ ยายจ๋า ฮือๆ

ตาได้แต่ร่ำไห้กับกายที่ไร้ซึ่งวิญญาณของยาย....แต่ไม่มีเสียงจากยายตอบกลับมาเลย

หลังงานศพยายดี ตาจึงกลับมาทบทวนตัวเอง
เก็บล็อคเก็ตที่ยายทิ้งไว้ให้ พร้อมนำจดหมายยายมาใส่กรอบเพื่ออ่านเตือนใจเสมอ
เริ่มหันมาให้ความใส่ใจกับพ่อแม่ พ่อตาแม่ยาย แวะไปหา ดูแล ซึ่งก่อนหน้าไม่เคยมี
มองหาความรักที่อยู่รอบตัว และนึกถึงสิ่งดีๆที่ยายดีเคยทำให้แล้วยิ้มด้วยความสุขเสมอ

ตามี ยิ้มและบอกกับตัวเองว่า ตาจะมีความสุขในแบบที่ตาเป็น อย่างที่ยายอยากให้เป็น
เพราะนั่นคือสิ่งที่ยายทิ้งไว้เป็นสิ่งสุดท้ายให้ตา

สำหรับนิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า 
อย่ามั่วมองเห็นคุณค่าจากคนไกลตัว
จนลืมเห็นคุณค่าจากสิ่งที่เรามีอยู่

บางครั้งสิ่งที่เราได้รับในทุกวัน เพราะมันเคยชินเราเลยมองผ่าน
แต่พอคนอื่นมอบให้เพียงครั้งคร่าว เรากลับคิดว่าดีมากมายจนลืมคิดถึงสิ่งที่มี

อย่าละเลยความรู้สึกของคนใกล้ชิด
อย่ามองผ่านในการกระทำของคนชิดใกล้
จงรู้จักถนอมน้ำใจใส่ใจคนชิดใกล้
ก่อนที่จะไม่มีคนนั้นอยู่ในชีวิตคุณ

เขียนโดย....น้องใหม่

@...Miiez...@

วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เวลากับเงินตรา

สิ่งที่สำคัญมากกว่าเงินตรา คือ "เวลา"
เราไม่รู้หรอกว่า เวลาในอนาคตข้างหน้าของเราจะเหลือเท่าไหร่
เวลาบนโลกใบนี้ ที่จะให้เราสร้างสิ่งดีๆ มีอีกกี่วินาที กี่วัน กี่เดือน และกี่ปี



แต่สิ่งที่เรารู้คือ ปัจจุบันที่เราเป็นอยู่
ปัจจุบันที่เราลงมือทำ
ปัจจุบันในเส้นทางที่เราเลือกเดิน
นั่นละคือสิ่งที่เรารู้และทำมันได้

อดีตอาจจะมีเรื่องราวมากมายที่เราเดินผ่าน
มีหลายสิ่งให้เราได้จดจำ ทั้งเรื่องดีและไม่ดี

ทุกทางเดินที่ผ่าน คือทุกก้าวแห่งการเรียนรู้
ยิ่งเราได้เดินมาบนหนทางบากบั่นมากเท่าไหร่
เราก็จะได้พบหนทางแปลกใหม่มากขึ้น
ประสบการณ์ที่โชกโชนขึ้นอยู่กับเราลงมือทำมากแค่ไหน

อะไรที่ไม่เคยเจอ ไม่ใช่ว่าจะไม่มี
อะไรที่ไม่เคยรู้  ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้
อะไรที่ไม่เคยมี ไม่ใช่ว่าจะไม่มี
อะไรที่ไม่เคยเป็น ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ 

ทุกอย่างอยู่ที่เราคิดและลงมือทำ
เราเลือกได้ในทุกหนทางที่เราเดิน
เราเลือกได้ในชีวิตที่เราอยากจะเป็น

เราสามารถสร้างทุกอย่างได้ ขึ้นอยู่กับว่า
เรามีความพยายามมากพอแค่ไหนตั้งหากละ


อย่าใช้เวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ค่า
จงใช้เวลาให้คุ้มค่าในทุกช่วงเวลาของชีวิต

เวลาทำงาน จงตั้งใจศึกษา ลงมือทำ พัฒนา
เวลาไปเที่ยว จงปล่อยสมองให้โล่ง เพื่อผ่อนคลาย
เวลากิน จงมีความสุขกับการลิ้มรสชาติอาหาร ใช่กังวลในเรื่องใด
เวลานอน จงหลับไหล ให้ร่างกายได้พักผ่อน
เวลาคิด จงคิดให้ลึกในรอบด้าน

อย่าใช้ทั้งชีวิตเพื่อทำงาน
จนลืมไปว่าชีวิตมีมากกว่างานที่อยู่เบื้องหน้า
ทำงานเพื่อสร้างชีวิตดีกว่ามีชีวิตเพื่อทำงาน

อย่ารอให้มีบ้านหลังใหญ่ถึงจะสร้างความอบอุ่น
อย่ารอให้มีรถแสนแพงถึงจะพาคนในครอบครัวไปเที่ยว
อย่ารอให้มีเงินมากมายถึงจะกลับไปดูแลพ่อแม่
อย่ารอให้มีทุกสิ่งแล้วถึงจะให้ผู้อื่นเป็น
อย่ารอให้มีเวลาถึงจะสร้างความสุขกับคนที่คุณรัก 

เวลาหมุนเดินไปข้างหน้า
ไม่เคยหยุดหมุน  ไม่เคยถอยหลังเดิน ไม่เคยรอใคร

ครอบครัว คนที่คุณรัก อย่าละเลย
เพราะเราไม่รู้เลยว่าใครจะจากไปก่อนกัน
เวลามีค่า แบ่งเวลาให้เป็น ออกแบบชีวิตให้ดี
ด้วยวิถีที่เป็นคุณแล้วสุขใจ แค่นั้นพอ

เดินต่อไป.......นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@


วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

3 สิ่ง ก่อให้เกิดการโฟกัสได้นาน


การที่เราจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งนานๆได้
รู้ไหมว่ามันเกิดจากอะไรบ้าง
มีความสงสัย มีความสนใจ มีความอยากทำ
3 สิ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน กลายเป็นความกระหาย อยากเรียนรู้ในสิ่งนั้น



พอเราเกิดความสงสัย เราจะตั้งคำถามในใจ
และจะเกิดความอยากรู้ในสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา

พอเรามีความสนใจเราจะใฝ่หาคำตอบ
ไม่ได้สนใจสิ่งใดรอบข้างมากนัก
แล้วจะรู้สึกสนุกในการเรียนรู้ค้นหาสิ่งต่างๆสะด้วยนะ

พอเรามีความอยากทำเราจะศึกษาค้นคว้า
มีความกระตือรือร้นและคิดอะไรกับสิ่งนั้นได้ตลอดเวลา
แม้บางครั้งภาพที่มองลงมายังเป็นสิ่งนั้นเลย

พอเกิดขึ้นทีเดียวพร้อมกัน 3 อย่าง
สรุปเป็นยังไงหรอ เรียกง่ายๆ หมกหมุ่นเลยละ
เพราะทั้งสนุกในการค้นหา มีความอยากรู้อยากเห็น
มีคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งนั้นเพื่อเกิดการศึกษาต่อเนื่อง
เลยมีการพัฒนาศักยภาพในด้านนั้นเองโดยอัตโนมัติ

ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ยังไม่รู้สึกง่วงเลยละ
ไม่เชื่อลองสังเกตุเวลาเราทำงานได้แบบตื่นตัวดูสิ
มี 3 อย่างอยู่ในขณะจิตตอนนั้นจริงๆนะ
เพราะเราจะอยากทดลองทำมันดูยังไงละ

อิอิ .......สนุกกับการเดินทางต่อไปนะ  นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คนเรามักทำตามสิ่งที่คิดเสมอ





คนเรามักทำตามสิ่งที่คิดเสมอ
ความคิดจึงเป็นหนึ่งสิ่งที่เราต้องพัฒนา
แต่ก็อย่าคิดให้มากเกินจนไม่ลงมือทำ



สร้างความคิดให้มองเห็นเส้นทางที่เราจะก้าวเดิน
มองอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าให้ออกว่ามีจุดไหนบ้าง
มองเครื่องมือทั้งหลายให้เห็นถึงหน้าที่แท้จริงของมันให้เจอ
มองตัวเราให้ออกว่าตัวเราทำสิ่งไหนได้ดี สิ่งไหนไม่ดี
แล้วก็นำทุกสิ่งมาประมวลผลตรงหน้า

เพื่อจะสร้างหนทางและผลลัพท์ออกมาให้ได้
ถ้าเราไม่มีทางเดินที่ชัด เราจะเดินทางได้อย่างไร
ถ้าเราไม่รู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน เราจะเดินทางได้อย่างไร

เราต้องฝึกการคิดนอกกรอบให้เป็น
ฝึกการมองให้ขาดในทุกด้านๆให้ได้
ไม่งั้นเราจะติดหล่มในที่ใดที่หนึ่ง

และการที่เราฝึกคิด ฝึกเข้าใจตน เพื่อที่เราจะไม่ติดในตัวเราด้วย
ฝึกคิดให้เป็น ฝึกมองภาพให้เห็น ฝึกเข้าใจโลก
และที่สำคัญสุดคือการลงสนามประลอง
นั่นคือการฝึกการลงมือทำนั่นเอง

ลงมือทำ แล้วฝึกคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาทุกอย่างที่เจอ
แล้วเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด

แค่คิดเป็น ชีวิตก็เปลี่ยนตามสิ่งที่เราคิดแล้วละ

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

อย่าสร้างสายน้ำไหลมาเพียงสายเดียว

อย่าสร้างสายน้ำไหลมาเพียงสายเดียว
อย่าสร้างสายน้ำไหลออกมากเกินตัว



ในบางครั้งเราทำงานได้เงินจากสิ่งหนึ่งจนเฟื่องฟู
เราอาจจะไม่ได้คิดว่า ที่ทำอยู่จะอีกนานแค่ไหน

หลายธุรกิจประสบความสำเร็จ
และต้องปิดตัวในกาลต่อมา
มีธุรกิจใหม่มาแทนที่คนสำเร็จเก่า

ถ้าจะให้เห็นภาพชัด น่าจะเห็นได้จากธุรกิจเทคโนโลยี
ไม่ว่าจะเป็น ยุคเฟื่องฟูของ โนเกีย โกดักส์ hi5
และยังมีธุรกิจอื่นอีกมากมาย

โลกปรับเปลี่ยนเสมอไปตามยุคสมัย
โลกในภายภาคหน้าคืออะไร เราไม่รู้หรอก
สิ่งที่เรารู้คือเราต้องปรับตัวให้ทันทุกยุค

เราอยู่ในโลกของการตลาด
สิ่งที่ได้เห็นและพบเจอมาตลอดคือ
การปรับเปลี่ยนในพฤติกรรมมนุษย์
วิถีของชีวิตมนุษย์ปรับเปลี่ยนไป

โลกที่แคบลง โอกาสที่มากขึ้น การแข่งขันสูงขึ้น
วิถีมนุษย์เปลี่ยน การทำเงินก็จะเปลี่ยน
สิ่งที่ต้องตามให้ทันคือตามพฤติกรรมมนุษย์ให้ทัน

วิถีเดิมไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะ
ยังคงทำได้อยู่ แต่ก็ควรปรับเปลี่ยนเพิ่มช่องทางให้ทัน
ช่องทางมีเกิดใหม่เสมอ

ทุกวันนี้เห็นช่องทางใหม่เกิดขึ้นมากมาย
ให้เล่าก็คงยาวแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้ว
ไม่ใช่ว่าเราจะต้องทำทุกช่องทาง
แต่เอาดีสักช่องทางแล้วขยายช่องทางเพิ่มดีกว่านะ

ถ้าสิ่งหนึ่งเราทำยังไม่ดี
แล้วเราไปทำหลายสิ่งเพิ่มพร้อมกัน

ถ้าบริหารจัดการได้ก็ไปได้รุ่ง
ถ้าบริหารจัดการไม่ได้ก็ดิ่งลงเหวได้เลยละ

ทำสักอย่างให้ดี เข้าใจในสิ่งนั้นแล้ว
หาคนมาทำแทนที่เรา
ขยายช่องทางเพิ่ม

ทั้งช่องทางการตลาด ขยายรายได้ต่อก็ตามแต่ชอบ
หารายได้ได้มาก ก็ควรหาวิธีต่อยอดเงินเพิ่ม

วันที่มีให้คิดถึงวันที่ไม่มีไว้ด้วยนะ
เพื่อจะได้ไม่ทำอะไรเกินตัวมากนะ และรู้จักคุณค่าของสิ่งที่มีนะ

อย่าเป็นคนใช้อะไรเกินตัว
และอย่าเป็นคนทำอะไรโดยคิดถึงเงินในภายภาคหน้าเพียงอย่างเดียว

เราไม่มีทางรู้อนาคตและภายภาคหน้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แต่เรารู้ปัจจุบันที่เราทำและเป็นอยู่นั่นแหละ

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ
 
@...Miiez...@

อะไรคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์

อะไรคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์



ถ้ามองแบบตามจริง ทุกข์จากอดีตและอนาคต
แต่ถ้ามองในเรื่องแบบเชิงที่หลายคนเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ความทุกข์มนุษย์ จะแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ๆ ประมาณนี้

ทุกข์จากความคิดของตัวเองทำร้ายตัวเอง
ทุกข์จากความคิดของคนอื่นที่มองมายังตน
ทุกข์จากความคาดหวังในใจตัวเอง
ทุกข์จากการแบกความคาดหวังของคนอื่น
ทุกข์จากความอยากได้อยากมีอยากเป็น
ทุกข์จากการยึดติดกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
ทุกข์จากสิ่งที่เคยมีเคยเป็น
ทุกข์จากการสูญเสียสิ่งที่เป็นที่รัก

สุดท้ายมองตามจริง หลุดจากทุกข์ได้ แค่อยู่กับปัจจุบัน
และทำปัจจุบันให้ดี แบบไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อน

แค่มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วทำให้ดีที่สุด
แต่ด้วยความซับซ้อนในความคิดมนุษย์ ไม่ได้คิดเช่นนั้น

เอาทุกสิ่งที่ผ่านการกระทำ หรือบางครั้งแค่ผ่านตา
มาคิดซ้อนทับให้ปวดหัววุ่นวาย จนลืมการมองตามความเป็นจริง

ทำให้สิ่งที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน กลายเป็นเห็นภาพอื่นได้
บางอย่างดีอยู่แล้ว ก็ไปเอาอดีตที่ไม่ดีมาซ้ำปัจจุบัน

แล้วเอาความกลัวอดีตซ้ำรอย มาซ้ำทับอีก
นั่นละ ความทุกข์มนุษย์ละ ทุกข์จากสิ่งที่ตนคิดทั้งนั้นเลย

หลุดได้แค่คิดเป็น ก้าวเดินได้แบบไม่ทุกข์ แค่เปลี่ยนวิธีคิดนั่นเอง
สุขทุกข์เป็นของคู่โลก  เข้าใจสุขทุกข์
เราก็จะปล่อยวางได้ทุกสรรพสิ่งละ


เดินต่อไปนะ....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สิ่งสะท้อนจากความคิดคือการกระทำ



เสียงดังกึกก้องในความคิด
สิ่งสะท้อนจากความคิดคือการกระทำ
สิ่งที่จะหยุดความคิดได้คือสติ



หลายต่อหลายครั้งที่ความคิดโลดแล่นไปไกลโข
หลายต่อหลายครั้งที่มีความสุขกับการคิด
หลายต่อหลายครั้งที่มีความทุกข์กับการคิด

ความคิดมนุษย์ เป็นรอยต่อจาก สิ่งที่เป็นมโนภาพ
หรือควรจะเรียกมันว่า สิ่งที่สะท้อนจากประสบการณ์และจินตนาการ
จึงก่อให้เกิดความคิดมนุษย์

เจ้าความคิด บางครั้งมันก็ดูซับซ้อน
เจ้าความคิด บางครั้งมันก็ดูไม่มีอะไร
เจ้าความคิด บางครั้งมันก็โลดแล่นไปไม่หยุด

มโนภาพที่ฝังมันไปได้เรื่อยๆ
จากสิ่งที่ผ่าน ก่อให้เกิดอยากให้เกิดซ้ำ
จากสิ่งที่ผ่าน ก่อให้เกิดอยากแก้ไข
จากสิ่งที่ผ่าน ก่อให้เกิดความกลัว
จากสิ่งที่เคยเห็น ก่อให้เกิดอยากเป็นในแบบที่เห็น
จากสิ่งที่เคยเห็น ก่อให้เกิดอยากมีในแบบที่เห็น

มโนภาพความคิด มันผุดมาจากสิ่งที่เราผ่านพบ
ไม่ว่าจะการกระทำที่เราชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ
ไม่ว่าจะเป็นการพบเห็น ดู ได้ยินเสียง แล้วอยากมีอยากเป็น
ไม่ว่าจะเป็นรสสัมผัส ที่เราเคยได้รับ แล้วอยากรับรู้ และไม่อยากรับรู้

ความนึกคิดมันล้วนเกิดมาจากประสบการณ์และจิตนาการของเราทั้งนั้น
สิ่งที่จะหยุดความคิดมนุษย์ได้อย่างสิ้นเชิงคือ สติ

ที่จะจับความคิดของคนเราได้ว่า
เรากำลังคิดอะไรอยู่ และความคิดไหนที่ทำให้เราเศร้าหมอง
ความคิดไหนที่ทำให้เราสุขสุนทรีย์
และจิตเราที่หลงไปในตามวังวนแห่งความคิดเป็นแบบไหน

และจะออกมาจากวังวนแห่งความคิดคืออยู่กับปัจจุบันนั่นเอง
โฟกัสในสิ่งที่ทำ จดจ่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ความคิดจะหยุดที่ตรงหน้า และลงมือทำจากสิ่งที่คิด

หยุดความคิดที่ก่อให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี
สร้างความคิดที่ก่อให้เกิดงานที่สร้างสรรค์
เราเลือกได้ว่าจะให้เราคิดอย่างไร
แค่ใช้สติในการคิด เท่านั้นเอง

เดินต่อไป............นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

ปิดหู ปิดตา ปิดปาก





บางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักปิดหู ปิดตา ปิดปาก
เพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า ในเส้นทางของตัวเราเอง



ทำไมนะหรอค่ะ  การปิดหู ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงใดๆ
นอกจากเสียงในใจของเราที่บอกว่าเราต้องทำอะไร

การปิดตา ทำให้เราไม่มองเห็นในเส้นทางคนอื่น
เพื่อเกิดความรู้สึกหลงทาง ในเส้นทางของเรา

การปิดปาก ทำให้เราหยุดพูดในสิ่งที่เรากำลังเดินทาง
เพื่อมุ่งกับการสร้างผลลัพท์ตรงหน้าเราให้พูดแทนเราทุกคำ

การเดินทาง บางครั้งเรามอง ศึกษา ดูเส้นทางใครอื่น
มาหลากหลายเส้นทางแล้ว

เราก็ควรกลับมามองเส้นทางตัวเอง
นำข้อมูลต่างๆ มาประยุกต์ และวางแผน

แล้วเดินทางในเส้นทางของเรา ตามแผนงานที่เราวางไป
ไปตามเข็มทิศที่เราเขียน เพราะปัจจัยในการเดินทางทั้งหมด
ขึ้นอยู่กับทางที่เราเดินตรงหน้า ไม่ใช่เส้นทางใครอื่น
หรือเสียงใครอื่นที่มาบอกเรามากมาย

แต่เป็นตัวเรา เสียงความคิดเรา ที่ต้องเดินไปข้างหน้า
อย่างตั้งมั่นและแน่วแน่  อะไรคือสิ่งที่ต้องเดินไป
คนที่รู้ในเส้นทางเรา มีเพียงเราเท่านั้นที่จะตอบได้

เดินต่อไป.....นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ความฝัน


ความฝัน หรือเป้าหมายที่อยากจะเป็นเราในอนาคต



มีคนหนึ่งคนบอกเราว่า ความฝันเค้าไม่เคยเปลี่ยน
แต่เค้าเปลี่ยนวิถีที่ทำเพื่อไปให้ถึงความฝัน

มีคนหนึ่งคนบอกเราว่า เค้าไม่มีความฝัน
แต่พอค้นลึกลงไปแล้ว เค้าเคยมีความฝัน
และด้วยภาระหน้าที่ที่เค้าต้องรับอยู่ ความฝันเค้าสลายไป
เค้าต้องทิ้งความฝัน เพื่อ อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญกว่า
มีหลายสิ่งที่เค้าต้องทำมากกว่าจะตามฝันตัวเค้าเอง

มีคนหนึ่งคนบอกเราว่า เค้าไม่มีความฝัน
แต่พอค้นลงไป เพราะความฝันที่คนทั่วไปใฝ่ฝัน
เค้าได้มันมาหมดแล้ว ตั้งแต่เกิด เติบใหญ่
เค้าได้ใช้ชีวิตที่คนอื่นใฝ่ฝัน
แต่ถ้ามองไปถึงเป้าหมายที่เค้าอยากจะไปนั้น
เค้าอยากไปนิพพาน

มีคนหนึ่งคนบอกเราว่า เค้ามีความฝัน
แต่พอถามถึงแผนที่ไล่ตามความฝัน
เค้าบอกว่าไม่เคยเขียนแผนที่ เค้าใช้ความสุข
เค้าไม่ได้โฟกัสที่ความฝันว่าเค้าจะไปถึงฝันอย่างไร
แต่เค้าโฟกัสว่าเค้าจะมีความสุขในปัจจุบันอย่างไร

อืม.....เป็นค่ำคืนที่ได้ทบทวนตัวเราเอง
สิ่งที่เราเห็นในตัวหนึ่งคนเป็นได้ มันคือแนวคิดที่เค้าคิดนั่นเอง

ไม่มีสิ่งไหนผิดหรือถูกในชีวิต
มีแต่เรามีความสุขกับชีวิตแบบไหนมากกว่านะ

อะไรคือสิ่งที่เราโฟกัสในหนึ่งวัน
อะไรคือสิ่งที่เราคิดในหนึ่งวัน
อะไรคือสิ่งที่เราตามหาในชีวิต
อะไรคือสิ่งที่เราต้องการในหนึ่งชีวิตกันแน่แท้

นั่นละ.....คือพ้อยและเป็นสิ่งที่เราจะเดินมันไปถึง
หลายต่อหลายครั้งที่เรานั่งคุยกับใครอื่น
เพื่อดูแนวคิด ความคิดใครอื่น เพื่อเปิดโลกทัศน์ในตัวเอง

มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเราได้กลับมาทบทวนตัวเราได้เหมือนกันนะ
ทำไมนะหรอ อืม...ไม่รู้สินะ เราคิดว่า

เหมือนบางครั้งเราอาจจะได้เห็นอะไรในตัวคนมั่ง
มนุษย์มีความคิดที่ซับซ้อนยากเกินจะคาดเดา

เลยเป็นอะไรที่รู้สึกว่าศึกษาด้านนี้แล้วสนุก
เป็นศาสตร์ในการที่เราจะสามารถเข้าใจมนุษย์ได้มากขึ้น

มันทำให้เราเห็นอะไรบนโลกใบนี้เพิ่มขึ้น
ภาพในการมองโลกและผู้คนก็เปลี่ยนไปนะ

สุดท้ายแล้วนะ มนุษย์ก็เดินตามวิถีที่คิดและทำ
อยากใช้ชีวิตแบบไหน ขึ้นอยู่กับเราคิดและทำแบบไหน
แค่นั่นแหละ  พ้อยของชีวิต ไม่มีอะไรเลย

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ
@...Miiez...@

วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

โลกแห่งวังวน


มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นในโซเซียลมากมายในขณะนี้
ทำไมคนมีเงินนับหมื่นล้าน ถึงหาได้มีความสุขไม่



อีกครั้งแล้วที่ทำให้เราได้นึกย้อนกลับไปมองดู
เหตุเกิดจากมนุษย์ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตนทุกข์ในเรื่องอะไร
เลยหลงวังวนอยู่ในทุกข์อยู่ร่ำไป หาทางออกไม่เจอ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
และคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องนัก

คำว่าผิด คำว่าถูก ใครกันเป็นคนบัญญัติ ข้อกฏเหล่านั้น
แน่แท้แล้ว หาคำตอบที่ถูกคงยากนัก
แต่เราอยู่ในที่แห่งใด ที่แห่งหนึ่งมีกฏ มีระเบียบ

จะอยู่อย่างผาสุกได้ ก็ต้องรู้จักการเคารพกฏเกณฑ์
ไม่ใช่คิดว่า มีอำนาจ มีบารมี มีเกียรติ มีเงินตรา
แล้วจะทำสิ่งใดก็ได้ อยู่เหนือทุกกฏเกณฑ์ หาใช่สิ่งที่ถูกไม่

อะไรผิดว่าไปตามผิด ขอบคุณคนเตือนแล้วแก้ไข
อย่าน้อมรับแต่คำชอบจงรู้จักรับคำผิดด้วย
นั่นละคือที่มาของคำว่ารับผิดชอบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ถ้ายังติดในวังวน ก็ยังคงเกิดทุกข์ได้อยู่ร่ำไป
ถ้าไร้ซึ่งสติไตร่ตรองทุกสิ่ง ก็คงเปรียบเหมือนชีวิตหลงโลกไร้ครรลอง

สักแต่ว่าหลง มองไปก็ว่าทุกสิ่งดี
สักแต่ว่าโกรธ  มองไปเห็นแต่คนติติง
สักแต่ว่าโลภ  มองไปเห็นแต่เอาแต่ได้

กรรมจะเกิดเช่นไร อยู่ที่จิตคิดมาเช่นไร
ไม่มีสิ่งใดเกิดได้แบบไม่ทันคิด
มีแต่ดูไม่ทันความคิดที่จะหยุดสิ่งที่คิดทัน

ทุกดวงจิตมีมารร้ายอยู่ในตัว เราจึงต้องมีสติไว้ควบคุมนางมารร้าย
เรียกมันว่า ดี ชั่ว สิ่งที่คุมความมืดมิดในใจไม่ให้เกิด
คือสติ ที่ก่อให้เกิดความยั่งคิด ชั่งใจ ชั่งน้ำหนักในการทำสิ่งใด

คิดให้ดีก่อนจะทำหนึ่งสิ่ง
คิดให้ดีก่อนจะพูดหนึ่งคำ

ทุกสิ่งที่ก่อกรรมแล้ว เรียกคืนไม่ได้
จงมีสติอยู่กับตัวให้มั่นก็พอแล้ว

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ
@...Miiez...@

วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

โซเซียลกับสภาวะจิต





ใช้โซเซียลในการฝึกจิต ทดสอบจิตได้นะ
โซเซียลเปรียบเหมือนโลกเสมือนที่จำลองสังคมไว้อีกหนึ่งทาง



บางครั้งเราเห็นแล้วเราดันไม่หยุดแค่ที่เห็น
จิตมันวิ่งตามสิ่งที่เราเห็น ไปเป็นความนึกคิด และขยายสิ่งที่คิดต่อไปเรื่อยๆ

ทั้งเรื่องดราม่า เรื่องคนอื่น เรื่องอื่นใด
มันวิ่งเข้ามาให้วุ่นได้โดยง่าย

และในตอนที่เราโพสต์ข้อความใด ข้อความหนึ่ง
เราฝึกจิตในการมองให้เห็นมากขึ้นว่า

ปัจจุบันอยู่ส่วนไหนกันแน่
จิตหลุดออกจากตัวเอง จิตไปอยู่ในภวังค์ห้วงความคิด
จิตมีความคาดหวัง จิตมีความอยากรู้ จิตมีความหลงใหล

แต่ทุกอย่างคือโลกเสมือน ซ้อนทับบนโลกอีกทางหนึ่ง
และมันทำให้เห็นถึงจิตที่ฟุ้งซ่านได้ง่ายขึ้น

เหมือนโซเซียลคือที่ประลอง การอยู่กับผู้คนในการเอาตัวเองออกสู่โลกกว้าง

ทำอย่างไรให้จิตอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่จิตอยู่กับอดีตและอนาคต
สุดท้ายมันคือการฝึกจิต และใช้สติให้เห็นปัจจุบันให้ง่ายขึ้น

มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
มองเห็นความรู้สึก นึกคิด ที่ปรับเปลี่ยนตามสภาวะจิต
มองเห็นความฟุ้งซ่าน ลมปราณแตกซ่านของจิตในทุกอารมณ์
มองเห็นปัจจุบัน ขณะ ให้มากขึ้น

การที่จิตหลุดออกจากปัจจุบันขณะนั้นโคตรง่ายมาก
การดึงสติให้อยู่กับปัจจุบันเป็นเรื่องโคตรยาก

คำว่าทำปัจจุบันขณะ โดยไม่มีสิ่งใดเข้ามาวอกแวก
ต้องใช้สติ และสมาธิสูงมาก ในการกำจัดนิวรณ์ ความฟุ้งซ่านของจิตออกไป

พอเข้าใจคำว่าจิตอยู่กับปัจจุบัน นั่นละคือสิ่งที่ทำให้เห็นว่า
เรายังคงต้องเดินทางไกลอีกมากโขเลยละ

ฝึกจิตให้มีสติ และอยู่กับปัจจุบันขณะ นั่นละคือทางที่จะหลุดพ้นได้
หยุดที่แค่รู้ หยุดการมโนภาพทุกสิ่ง มองเห็นทุกขณะจิต

พูดได้คำเดียว โคตรยาก
แต่ก็คงจะเดินทางนี้ต่อไป ......

หนึ่งชีวิต ต่อลมหายใจด้วยสติ
หนึ่งนึกคิด  หยุดมโนภาพได้ด้วยสติ
หนึ่งปัญญา  จะโผล่มาเมื่อมีสติ

สติเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต
อย่าปล่อยให้สติขาดหาย ไม่งั้นชีวิตวุ่นวายยุ่งเยิงเป็นแน่แท้

เดินต่อไป...............นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

คำถามสั้นๆ ประโยคเพียงสั้นๆ


ถ้าวันนี้ คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราต้องจากไป เราจะอยู่ได้ไหม



คำถามสั้นๆ ประโยคเพียงสั้นๆ ที่ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ใช่คิดแค่การฝึกตายของเราเพียงคนเดียว

แต่ต้องคิดให้ได้ว่าถ้าทุกอย่างหายไปตรงหน้าเรา
นั่นคือเราสูญเสียในหลายสิ่ง และเรายังหายใจ

การฝึกจิตของเรา ไม่ใช่ฝึกเพียงแค่
เราปลดปล่อยจากบ่วงเพียงอย่างเดียว

แต่เป็นการปลดปล่อยพันธนาการอย่างแท้จริง
ถ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพลันหายไป

เราจะฟูมฟาย นั่งเสียใจ ร้องไห้กับสิ่งเหล่านั้นไหม
หรือเราจะมีสติ แล้วเดินก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเข้มแข็ง

จะเรียกว่าเข้มแข็งก็ดูกะไรไปสะหน่อยนะ
ขอเรียกมันว่า เราจะสามารถเห็นโลกอย่างเข้าใจได้ไหม

ทุกอย่างมีเกิด ทุกอย่างมีตั้งอยู่ ทุกอย่างมีดับไป
แล้วอะไรละที่เราควรจะยึด มันไม่มีสิ่งใดเลย

พี่ทำให้เราอยากเดินทางสายธรรมอีกแล้ว
แต่เราต้องจัดการทางส่วนโลกให้หมดซึ่งห่วงก่อน

ไม่ว่าเราจะอยู่ทางโลกหรือทางธรรมเราก็เลือกที่จะอยู่ได้
โดยไม่ต้องรบกวนสิ่งอื่นใด

การปราศจากพันธนาการจากใจได้ทั้งหมด
นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราหลุดพ้น วัฏฏะสงสารได้เช่นกัน

การจากลาสำหรับเราแล้ว คือการหมดเวรซึ่งกันและกัน
การหลงในโลก หลงสุขแล้วยังเสพสุขมากมาย

เหมือนคนไม่เห็นซึ่งทุกข์ที่วางอยู่ตรงหน้าเรา
แล้วเราก็ใช้ชีวิตโดยความไม่ประมาทอยู่ทุกวัน

เราไม่มีทางรู้วันตายของเราได้
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ ว่าพรุ่งนี้ของเราจะเหลืออีกกี่วัน กี่ชั่วโมง กี่ปี

การฝึกจิตให้เป็นจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ฝกให้เห็นทุกอย่างอย่างมีสติ

ดีกว่าปล่อยจิตให้ไหลอิงไปตามทางของโลก
เราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นมนุษย์
เราโชคดีแค่ไหนที่ได้เห็นทุกข์ของการเกิด
เราโชคดีแค่ไหนที่ได้เห็นทุกข์ของบ่วงโซ่

แล้วเราจะปล่อยให้จิตหลงอีกนานแค่ไหนกัน
เมื่อตั้งมั่นสิ่งใดไว้แล้ว จงตั้งใจทำสิ่งนั้นให้เกิดผล

เราจะได้ไม่ต้องคอยกังวลกับสิ่งใดอีก
เดินต่อไปนะ ...... นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

จิตมนุษย์





จิตมนุษย์เรา ซับซ้อนมากที่สุดแล้วจริงๆสินะ  

คงไม่มีอะไรจะซับซ้อนได้ขนาดความคิดมนุษย์อีกแล้วละ



อย่างคำพระที่ท่านว่าไว้ จิตมนุษย์ยากแท้จะหยั่งถึง
อย่าว่าแต่จิตใดของใครเลยนะ บางครั้งเรานั่งทายใจจิตใครอื่นสะให้วุ่นวายสมอง

จนเราหลงลืมนึกคิดไปว่า แม้กระทั่งจิตเราเองยังควบคุมยากเลย
แล้วจะไปสนใจจิตคนอื่นทำไมกันนะ

จงระวังจิตตัวเองให้ดีก็พอ
อย่าได้ไปทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นในทางไม่ดี

ต้องฝึกให้เรามีสติที่จะรู้เท่าทันจิตว่า ณ ขณะนี้คิดอะไร
และหากจิตเริ่มกระบวนการคิดไม่ดี ควรเริ่มหยุดและสอนสั่งจิต
เพื่อไม่ให้มารร้ายในใจโผล่ออกมาได้

นังมารร้ายที่ทำให้จิตเกิดการเศร้าหมอง
กิเลสต่างๆที่โผล่มามากมายเกินพอดี  ต้องดูมันให้ทัน

ยามใดสุขมากเกินไป ก็กำลังหลงในสุขอย่างไม่มีสติ
แต่มิใช่ว่าไม่ดี ควรจะพึงระลึกไว้เสมอว่า เมื่อยามสุข อย่าลืมว่ายังมีทุกข์
อย่าหลงสุขให้มากมายจนเกินไป วันนึงสุขเปลี่ยนไป จะไม่ต้องร้อนรน

ยามเราทุกข์ ก็ควรมองให้เห็น ว่าทุกข์นั้นเกิดเพราะเหตุอันใด
ใจที่ทุกข์จะหลุดได้ ก็ต้องรู้เหตุก่อนจะดับทุกข์ที่เกิดขึ้น

อย่าจมกับทุกข์ที่เกิด จงเข้าใจทุกข์ว่าเกิดเพราะอะไร ก็หยุดที่ตรงนั้นละ
มองให้ลึกลงไป เจาะไปในจิต ในกิเลส มันมากมายนัก
ก็ค่อยๆละ ค่อยๆสละ แล้วจะเข้าใจ และปลดปล่อยตามกาลได้นะ

เดินต่อไป อย่างเข้าใจโลก เข้าใจจิตนะ นักเดินทางตัวน้อยๆ

@...Miiez...@

วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561

ทุกสิ่งเดินมา ทุกสิ่งเดินไป




ทุกสิ่งเดินมา ทุกสิ่งเดินไป
เวลาไม่หยุดหมุนไป
เวลาไม่เคยรอใคร
เวลายังคงเดินไป

ทุกวินาทีที่ผ่าน
ทุกวินาทีที่พ้นไป

เราทำชีวิตเราเป็นอย่างไร
มีคุณค่าบ้างไหม

หรือใช้มันไปแบบไหน
เราลองมองย้อนดู
แล้ววิเคราะห์ตัวเราในอดีต

แล้วเริ่มวางเป้าในอนาคต
วาดมันออกมาสะ
เขียนมันออกมา

เล่าออกมาในสิ่งที่เราต้องการ
แล้ววาดทิศทางที่ต้องทำ
แล้วก็ออกเดินทางมันสะ

จะไปถึงดวงดาวที่วาดฝันหรือไม่นั่น
มันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะยอมก้าวเดินทางออกมาหรือไม่

ไม่ต้องสนสิ่งใดมากมาย
ลงมือทำมันสะ
it's your way Just do it

เดินต่อไป นักเดินทางตัวน้อยๆ
@...Miiez...@